กองทัพสหรัฐและเกาหลีใต้เปิดฉากซ้อมรบร่วมประจำปีครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อตอบโต้เกาหลีเหนือจากกรณีที่ทดสอบขีปนาวุธในช่วงกลางเดือนที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนเกิดความหวาดวิตกว่า การซ้อมรบดังกล่าวอาจจุดชนวนความตึงเครียดระลอกใหม่บนคาบสมุทรเกาหลี และอาจบั่นทอนเสถียรภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกโดยรวมอีกด้วย
สำนักข่าวยอนฮัพรายงานโดยอ้างข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ว่า ปฏิบัติการซ้อมรบภาคสนามระหว่างสหรัฐกับเกาหลีใต้ภายใต้รหัส "Foal Eagle" จะดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นเดือนเม.ย. และประกอบด้วยทหารจาก 3 เหล่าทัพ ทั้งกองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ นอกจากนี้ทั้งสองประเทศยังเตรียมฝึกซ้อมแผนยุทธวิธีโดยการจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ภายใต้รหัสปฏิบัติการ "Key Resolve" ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.เป็นต้นไป
ก่อนหน้านี้ สหรัฐและเกาหลีใต้ได้ประกาศแผนการซ้อมรบร่วมครั้งใหญ่ที่สุดในปีนี้ สืบเนื่องจากเกาหลีเหนือได้ทดสอบยิงขีปนาวุธเมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีมีความตึงเครียดยิ่งขึ้น
นักวิเคราะห์มองว่า หากการซ้อมรบร่วมครั้งนี้มีการจำลองสถานการณ์ในการบุกโจมตีเกาหลีเหนือแล้ว กองทัพสหรัฐก็อาจส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์แบบ B-1B และ B-52 ที่สามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ได้ ทำการซ้อมโจมตีเป้าหมายสถานที่สำคัญๆของกองทัพเกาหลีเหนือ เช่น สถานที่ทดลองอาวุธนิวเคลียร์หรือฐานปล่อยขีปนาวุธ
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารของสหรัฐบางคนเชื่อว่า เกาหลีเหนือกำลังพัฒนาขีปนาวุธที่สามารถยิงได้จากเรือดำน้ำ ซึ่งจะเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพของเกาหลีเหนือในอนาคต ดังนั้นการซ้อมรบในปีนี้ จึงน่าจะประกอบด้วยการฝึกซ้อมโจมตีเรือดำน้ำของเกาหลีเหนือด้วย
อย่างไรก็ตาม มีผู้เชี่ยวชาญบางคนได้แสดงความวิตกว่า การที่สหรัฐและเกาหลีใต้จัดการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมานั้น อาจถูกมองว่าเป็นการยั่วยุเกาหลีเหนือ ซึ่งอาจทำให้สันติภาพและเสถียรภาพของคาบสมุทรเกาหลี รวมถึงเอเชียตะวันออกตกอยู่ภาวะสั่นคลอน
สำนักข่าวยอนฮัพได้แสดงความเห็นในบทบรรณาธิการว่า นับตั้งแต่ที่การซ้อมรบเปิดฉากขึ้นในวันแรกนั้น คาบสมุทรเกาหลีก็ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ เกาหลีเหนือได้ประกาศข่มขู่เมื่อวานนี้ว่า "กองทัพเกาหลีเหนือจะทำการตอบโต้ประเทศผู้รุกรานด้วยอาวุธนิวเคลียร์อย่างไร้ความปราณี