Analysis: นักวิเคราะห์ชี้ข่าวทรัมป์ปล่อยข้อมูลลับให้รัสเซีย อาจกระทบนโยบายทรัมป์หลังจากนี้

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday May 17, 2017 15:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักวิเคราะห์ของสหรัฐเชื่อว่า ประเด็นร้อนเกี่ยวกับการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เปิดเผยข้อมูลลับทางราชการให้รัฐบาลรัสเซียทราบนั้น อาจทำให้ทรัมป์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้นในการผลักดันนโยบายทั้งในและต่างประเทศต่อจากนี้

ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในสหรัฐ ล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นเกี่ยวกับข่าวที่วอชิงตัน โพสต์ได้รายงานเป็นเจ้าแรกว่า ปธน.ทรัมป์ได้เปิดเผยข้อมูลข่าวกรองของอิสราเอลเกี่ยวกับกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ให้แก่รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียทราบในระหว่างการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยรายงานข่าวดังกล่าวได้สร้างกระแสหวาดวิตกเป็นวงกว้าง เนื่องจากการรั่วไหลของข้อมูลลับจากแหล่งข่าวกรองหรือช่องทางอื่นๆนั้น อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐ อีกทั้งทำให้ประเทศพันธมิตรเกิดความหวาดระแวงในการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับสหรัฐในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวได้ออกมาปฏิเสธว่า รัฐบาลสหรัฐไม่ได้เปิดเผยข้อมูลลับให้แก่เจ้าหน้าที่รัสเซีย โดยเฮอร์เบิร์ต เรย์มอนด์ แม็คมาสเตอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ ยืนยันต่อผู้สื่อข่าวว่า การพูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐกับรัสเซียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้นเป็นไปด้วยความเหมาะสม พร้อมกับย้ำว่า ปธน.ทรัมป์ไม่ทราบมาก่อนว่า ข้อมูลที่ได้รับมานั้นมาจากแหล่งข่าวกรองของประเทศใด

ทว่า นักวิเคราะห์ในสหรัฐมองว่า ไม่ว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ย่อมส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐต้องเผชิญกับมรสุมทางการเมือง และอาจทำให้การผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ หรือนโยบายในประเทศและต่างประเทศของปธน.ทรัมป์หลังจากนี้ เป็นไปด้วยความยากลำบาก

"ข้อกล่าวหาเหล่านี้ได้กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางความคืบหน้าในการผลักดันนโยบายในประเทศของรัฐบาล ตลอดจนนโยบายต่างประเทศอื่นๆที่ทรัมป์เตรียมจะผลักดันเป็นวาระสำคัญในระหว่างการเดินสายเยือนต่างประเทศ" แดน มาฮาฟฟี รองประธานอาวุโสและผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายของศูนย์รัฐสภาและประธานาธิบดีศึกษา กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัว

ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้า ปธน.ทรัมป์มีกำหนดการจะเดินทางเยือนซาอุดิอาระเบีย อิสราเอล ปาเลสไตน์ นครวาติกัน และเบลเยียม ก่อนจะเข้าร่วมประชุมซัมมิต G7 ในอิตาลี

มาฮาฟี กล่าวเสริมว่า "ทำเนียบขาวไม่อาจสลัดพ้นจากข่าวลือเกี่ยวกับรัสเซีย เพราะนับวันจะมีข่าวที่พัวพันกับรัสเซียมากขึ้น"

"ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมทำเนียบขาวถึงพยายามที่จะปกปิดความวิตกกังวลของประชาชนเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับรัสเซีย" โดยก่อนหน้านี้ ทรัมป์ก็เพิ่งเผชิญกับข้อครหาว่า การที่ทรัมป์สั่งปลดนายเจมส์ โคมีย์ ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) นั้น เป็นเพราะเขากำลังเดินหน้าสอบสวนข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกับทำเนียบเครมลินของรัสเซีย

มาฮาฟี กล่าวทิ้งท้ายว่า "หากรัฐบาลของทรัมป์ต้องการที่จะฟื้นฟูความเชื่อมั่นเพื่อให้สามารถผลักดันนโยบายต่างๆให้สำเร็จลุล่วงได้ ทรัมป์ก็จำเป็นจะต้องยุติการสร้างข่าวที่ทำให้ตัวเองเสียหาย"

ทั้งนี้ปธน.ทรัมป์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกรณีที่เขามักแสดงความเห็นต่างๆบนทวิตเตอร์ส่วนตัว ซึ่งทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยุ่งยากขึ้น และเป็นเหตุให้ต้องทำสงครามน้ำลายกับสื่อหลายครั้ง

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ปธน.ทรัมป์จำเป็นต้องสำรวมและควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้ และหันไปให้ความสำคัญกับการผลักดันนโยบายที่เคยให้คำมั่นไว้อย่างเป็นชิ้นเป็นอันแทน

ดาร์เรลล์ เวสต์ รองประธานและผู้อำนวยการสถาบันบรูคกิงส์ว่าด้วยธรรมาภิบาลศึกษา ได้แสดงความเห็นกับสำนักข่าวซินหัวว่า "ทรัมป์มีจุดบอดในเรื่องของรัสเซีย และเขาก็ไม่ได้ตระหนักว่า รัสเซียไม่ใช่มิตรของสหรัฐ"

"มุมมองของเขามีความแตกต่างจากสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ในพรรครีพับลิกันอย่างสิ้นเชิง และสหรัฐก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรจากการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับรัสเซีย เพราะมีแต่เสียกับเสียเท่านั้น" เขากล่าว

เวสต์ กล่าวเสริมด้วยว่า "สมาชิกพรรครีพับลิกันเข้าใจดีว่า พฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาของทรัมป์เป็นสิ่งที่กำลังบั่นทอนความเป็นเอกภาพของพรรค และพวกเขาก็ไม่ต้องการจะเห็นพฤติกรรมเหล่านี้อีก"

บทวิเคราะห์โดย แมทธิล รัสลิง จากสำนักข่าวซินหัว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ