นักวิเคราะห์มองว่า การที่สมาชิกรีพับลิกันในสภาคองเกรสสหรัฐไม่มีความเป็นเอกภาพ จะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการผลักดันกฎหมายปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ให้ผ่านความเห็นชอบในรัฐสภาได้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว พรรครีพับลิกันอาจต้องพิจารณาปรับแก้เนื้อหาบางส่วนในร่างกฎหมายดังกล่าวเพื่อขอคะแนนเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรคเดโมแครตบางส่วน
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 พ.ย. สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐซึ่งมีส.ส.รีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ได้ผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับของสภาผู้แทนฯได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นย่างก้าวสำคัญสู่การยกเครื่องระบบการจัดเก็บภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษของสหรัฐ โดยมุ่งลดภาษีให้กับบริษัทและบุคคลธรรมดารวมมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่สมาชิกรีพับลิกันทุกคนจะเห็นด้วยกับกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ เนื่องจากบางคนเชื่อว่า กฎหมายปฏิรูปภาษีดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ต่อองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่มากกว่าบริษัทขนาดเล็ก ขณะที่สมาชิกรีพับลิกันบางส่วนเห็นว่า ควรพ่วงข้อกำหนดยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพของรัฐบาลชุดก่อน หรือ "โอบามาแคร์" เข้าไปในร่างกฎหมายภาษีฉบับนี้ด้วย ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับร่างกฎหมายดังกล่าวว่าจะสามารถผ่านความเห็นชอบในสภาคองเกรสในบั้นปลายได้หรือไม่ หลังจากที่รีพับลิกันเคยประสบความล้มเหลวมาก่อนหน้านี้กับการผลักดันกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่เพื่อนำมาแทนที่โอบามาแคร์
แดร์เรลล์ เวสต์ นักวิเคราะห์อาวุโสจากสถาบันบรุคกิงส์ ได้ให้ทัศนะกับสำนักข่าวซินหัวว่า "ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของรีพับลิกันจะสามารถผ่านความเห็นชอบในวุฒิสภาได้โดยที่ไม่ต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากสมาชิกเดโมแครต ตราบใดที่รีพับลิกันมีความเป็นเอกภาพ แต่ปัญหาของสมาชิกรีพับลิกันในวุฒิสภาขณะนี้ก็คือ พวกเขายังไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน"
ยิ่งไปกว่านั้น ภายในพรรคเองยังเกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับสมาชิกรัฐสภาบางคน โดยเฉพาะนายจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกที่ทรงอิทธิพลที่สุดในพรรครีพับลิกัน
ความระหองระแหงระหว่างทั้งสองเริ่มต้นขึ้นในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา หลังจากที่นายแมคเคน ซึ่งเคยได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนรีพับลิกันลงชิงชัยศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2551 ได้ปฏิเสธที่จะสนับสนุนร่างกฎหมายเฮลธ์แคร์ของทรัมป์ ส่งผลให้การผลักดันกฎหมายฉบับสำคัญที่ทรัมป์ใช้หาเสียงมาโดยตลอด มีอันต้องสะดุดลง
ด้วยเหตุนี้ กฎหมายปฏิรูปภาษีจึงถูกมองว่าเป็น "หมาก" ที่อาจช่วยพลิกเกมให้กับทรัมป์ได้ หากคณะทำงานของทรัมป์สามารถผลักดันกฎหมายดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ได้สำเร็จ อย่างไรก็ดี ปัญหาขัดแย้งภายในพรรครีพับลิกันจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการผลักดันกฎหมายดังกล่าว นอกจากนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังฟันธงด้วยว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตจะไม่โหวตสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวอย่างแน่นอน
เวสต์ กล่าวเสริมว่า "ร่างกฎหมายนี้อาจไม่ได้รับการโหวตสนับสนุนจากสมาชิกเดโมแครตเลยแม้แต่คนเดียว เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวมุ่งปรับลดภาษีให้แก่กลุ่มคนร่ำรวยมากกว่าชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคเดโมแครตยอมรับไม่ได้"
ขณะที่อลัน เวียร์ด จากสถาบันอเมริกัน เอ็นเตอร์ไพรซ์ ให้สัมภาษณ์กับซินหัวว่า "มีความเป็นไปได้สูงที่ร่างกฎหมายดังกล่าวอาจไม่ผ่านความเห็นชอบในวุฒิสภา หากไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกเดโมแครตเลย"
"เวลานี้ยังมีความคลุมเครือว่า พรรครีพับลิกันจะสามารถโน้มน้าวสมาชิกเดโมแครตให้เห็นด้วยคล้อยตามได้หรือไม่ โดยการปรับแก้ร่างกฎหมายให้ลดภาษีสำหรับชนชั้นกลางมากขึ้น"
แดน มาฮาฟฟี รองประธานอาวุโสและผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายแห่งศูนย์รัฐสภาและประธานาธิบดีศึกษา ได้แสดงทัศนะว่า "มีความเป็นได้อันน้อยนิดที่เดโมแครตจะสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับปัจจุบัน"
"ร่างกฎหมายดังกล่าวจัดทำขึ้นโดยสมาชิกรีพับลิกันในคณะกรรมาธิการด้านการเงินของวุฒิสภา ซึ่งไม่มีการใส่เนื้อหาจากสมาชิกเดโมแครตเลย ดังนั้น หากต้องการให้เดโมแครตโหวตสนับหนุน ก็จำเป็นต้องให้สมาชิกเดโมแครตมีส่วนร่วมในการปรับแก้เนื้อหาในร่างกฎหมายฉบับนี้เสียก่อน" เขากล่าวเสริม
"ล่าสุดมีสมาชิกรีพับลิกันในวุฒิสภาหลายคนที่ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกฎหมายฉบับนี้ และหากต้องมีการเจรจาประนีประนอมในเนื้อหา ก็อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ซึ่งจะทำให้พรรครีพับลิกันไม่สามารถผลักดันร่างกฎหมายให้ผ่านสภาได้ตามกรอบเวลาที่กำหนดเพื่อให้ปธน.ทรัมป์ลงนามรับรองต่อไป" มาฮาฟฟีกล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์และแกนนำสมาชิกรีพับลิกันต่างก็ให้คำมั่นว่าจะผลักดันกฎหมายปฏิรูปภาษีให้ผ่านความเห็นชอบในรัฐสภาภายในสิ้นปีนี้ ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทอเมริกันบนเวทีโลก อีกทั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐและสร้างตำแหน่งงานให้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม มีผู้วิจารณ์ว่า รัฐบาลของทรัมป์มุ่งปรับลดภาษีเพื่อช่วยคนรวยเป็นสำคัญ
แต่ถึงกระนั้น ปธน.ทรัมป์ได้ชี้แจงว่า แผนปฏิรูปภาษีของเขามีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดบริษัทอเมริกันที่ดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ ให้กลับมาดำเนินงานในสหรัฐ โดยปัจจุบันบริษัทอเมริกันมีผลกำไรสะสมในต่างประเทศคิดเป็นมูลค่าราว 3 ล้านล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์กล่าวว่า หากรีพับลิกันคว้าน้ำเหลวในการผลักดันกฎหมายปฏิรูปภาษีครั้งนี้ อาจส่งผลให้พรรครีพับลิกันสูญเสียเสียงข้างมากในการเลือกตั้งกลางเทอมในปีหน้า ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการบริหารประเทศในช่วงเวลาที่เหลือของปธน.ทรัมป์อีกด้วย
บทวิเคราะห์โดย แมทธิว รัสลิง
สำนักข่าวซินหัวรายงาน