นักวิเคราะห์อเมริกันชี้ เหตุระเบิดซึ่งเกิดขึ้นในย่านไทม์สแควร์ ใจกลางกรุงนิวยอร์ก เมื่อวานนี้ ชี้ให้เห็นถึงความง่ายดายที่สหรัฐจะถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้าย
"เหตุระเบิดใจกลางกรุงนิวยอร์กชี้ให้เห็นว่าสหรัฐยังคงง่ายต่อการถูกโจมตี ในช่วงที่กลุ่มรัฐอิสลาม (IS) และกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆยังคงขยายอิทธิพลและจุดประกายให้ผู้คนทั่วโลกหันมาก่อเหตุ" ดาเรล เวสต์ นักวิเคราะห์อาวุโสจากสถาบัน Brookings Institution กล่าว
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 07.20 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 19.20 น.ตามเวลาไทย เมื่อวานนี้ ใกล้กับสถานีรถขนส่งในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นสถานีที่มีจำนวนรถขนส่งคับคั่งที่สุดในโลก ขณะที่ตำรวจได้สั่งอพยพประชาชนออกจากสถานีรถไฟใต้ดินในบริเวณใกล้เคียง
ผู้ต้องสงสัยคือ นายอคาเยด อัลลาห์ จากบังกลาเทศ ซึ่งแม้ว่ารอดชีวิต แต่ก็ได้รับบาดเจ็บ โดยนายอัลลาห์กล่าวว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากกลุ่ม IS ที่ได้ก่อเหตุระเบิดในตลาดคริสมาสต์ของยุโรป
เจ้าหน้าที่เชื่อว่า นายอัลลาห์ได้จุดระเบิดไปป์บอมป์ที่ทำขึ้นเองบริเวณชานชาลารถไฟใต้ดินใกล้กับจัตุรัสไทม์สแควร์ในช่วงเช้าวานนี้ ส่งผลให้ตนเองและพลเมืองอีก 3 รายได้รับบาดเจ็บ ขณะที่นายบิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนิวยอร์ก ยืนยันว่า "เป็นความพยายามก่อการร้าย"
ดาเรล เวสต์กล่าวว่า การโจมตีครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่สหรัฐกำลังเผชิญ เนื่องจากเป็นสังคมเปิดที่ผู้คนมีอิสระ สามารถไปไหนมาไหนก็ได้โดยไม่มีเจ้าหน้าที่สอบถามอะไรใดๆ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น ทำให้เหตุโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้และจะเกิดขึ้นอีก
"เป็นการยากที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการทำร้ายกัน เราไม่สามารถเฝ้าตามติดผู้คนในทุกซอกมุมของเมืองใหญ่เพื่อรับประกันความปลอดภัยได้เต็มที่" เวสต์กล่าว
ด้านนายเวย์น ไวท์ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองมิดเดิลอีสต์กล่าวว่า สหรัฐยังคงเต็มไปด้วยพื้นที่ที่สามารถก่อเหตุระเบิดได้ โดยเฉพาะเหตุระเบิดรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า โบสถ์ มัสยิด ไปจนถึงทางเดินที่เต็มไปด้วยผู้คน
"อย่างที่เราได้เห็นกันไปแล้วว่า แม้กระทั่งนิวยอร์กยังตกเป็นเป้าโจมตีของผู้ร้าย" ไวท์กล่าว
นอกจากนี้ แม้ว่าฐานที่มั่นของกลุ่ม IS จะถูกกวาดล้างไปแล้วเป็นจำนวนมากในตะวันออกกลาง แต่กลุ่ม IS ยังสามารถปลุกระดมให้ผู้คนก่อเหตุทั่วโลกได้ผ่านทางโซเชียลมีเดีย
"แม้ว่าฐานที่มั่นของกลุ่ม IS จะถูกทำลายไป แต่การก่อการร้ายก็ยังอาจเพิ่มขึ้นได้ทั่วโลก โดยสมาชิกกลุ่มที่รอดชีวิตอาจหลบหนีออกนอกพรมแดนบริเวณฐานที่มั่น และแพร่กระจ่ายข่าวชวนเชื่อผ่านทางโลกออนไลน์ต่อไป" ไวท์กล่าว
ทั้งนี้ ไวท์ยังมองด้วยว่า การที่ทรัมป์ประกาศย้ายสถานทูตจากเมืองเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเลม อาจจะถูกกลุ่มก่อการร้ายนำไปใช้ปลุกระดมผู้คนภายใต้แนวคิดที่ว่า โลกตะวันตกกำลังทำสงครามกับศาสนาอิสลาม และสร้างความแตกแยกเพิ่มเติม
ปธน.ทรัมป์ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการเพิ่มมาตรการตรวจคนเข้าเมืองให้เข้มงวดมากขึ้น หลังเกิดเหตุก่อการร้ายในย่านไทม์สแควร์เมื่อวานนี้ โดยทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐจำเป็นต้องแก้ไขความหย่อนยานในระบบตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งปัจจุบันเปิดทางให้บุคคลอันตรายและบุคคลที่ไม่ได้ถูกตรวจสอบอย่างรัดกุมเดินทางเข้าประเทศได้
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังเรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านกฎหมายยกเลิกการออกวีซ่าแบบ "ลูกโซ่" ที่ยอมให้บุคคลต่างชาติที่มีสมาชิกครอบครัวที่เป็นพลเมืองสหรัฐหรือเป็นผู้อาศัยถาวรสามารถเดินทางเข้าประเทศได้
ด้านนายเจฟฟ์ เซสชันส์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึง "มาตรการตรวจคนเข้าเมืองที่ล้มเหลวของสหรัฐ" พร้อมสนับสนุนให้ใช้มาตรการตรวจคนเข้าเมืองที่พิจารณาจากคุณสมบัติรายบุคคล เช่น วุฒิการศึกษา ทักษะ และความสามารถทางภาษาอังกฤษ โดยเขากล่าวว่า คุณสมบัติเหล่านี้ควรได้รับการพิจารณามากกว่าบุคคลที่เป็นเครือญาติของพลเมืองอเมริกัน
นอกจากนี้ นางซาราห์ ฮัคคาบี แซนเดอร์ส โฆษกประจำทำเนียบขาวสหรัฐ ยังออกมาสนับสนุนให้ใช้ระบบตรวจคนเข้าเมืองที่พิจารณาคุณสมบัติรายบุคคล พร้อมย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในนิวยอร์กเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า สหรัฐควรเพิ่มมาตรการคุมเข้มการตรวจคนเข้าเมือง
บทวิเคราะห์โดย แมทธิว รัสลิง
สำนักข่าวซินหัวรายงาน