Analysis: นักวิเคราะห์คาดสงครามการค้าสหรัฐ-จีนอาจปะทุอีกระลอก เหตุนโยบายการเมืองจีนเป็นตัวแปรสำคัญ

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 3, 2018 14:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

แม้ผู้นำสหรัฐและจีนได้ตกลงที่ระงับการทำสงครามการค้าเป็นเวลา 90 วัน แต่ด้วยความที่จีนต้องการบรรลุเป้าหมาย "การสร้างประเทศให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง" (Great Rejuvenation OT the Chinese Nation) ปัจจัยดังกล่าวก็อาจเป็นตัวจุดชนวนให้ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศมหาอำนาจกลับมาปะทุอีกครั้ง

หากจีนยังคงยืนกรานที่จะเร่งพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถทางเทคนิค เพื่อให้ประเทศของตนมีอำนาจทัดเทียมกับสหรัฐ ก็มีแนวโน้มว่าจีนจะไม่ยอมล้มเลิกวิธีการทำธุรกิจที่หลายชาติต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าไร้ความยุติธรรม

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ และประธานาธิบสี จิ้นผิงของจีน ได้เห็นพ้องกันให้เลื่อนกำหนดระยะเวลาที่สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ออกไป 90 วัน จากกำหนดเวลาเดิมในวันที่ 1 ม.ค.2562 เพื่อเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายได้เดินหน้าเจรจายุติข้อพิพาทการค้าระหว่างกันต่อไป

นอกจากนี้ จีนได้รับปากที่จะสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐ ทั้งผลิตภัณฑ์จากภาคการเกษตร, พลังงาน, สินค้าอุตสาหกรรม และอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก

ก่อนหน้าการประชุม G20 นั้น ปธน.ทรัมป์เคยเตือนว่า เขาจะเดินหน้าแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้จีนหามาตรการโต้ตอบกลับ

แต่ในขณะนี้ ปธน.ทรัมป์และปธน.สี จิ้นผิง ได้ตกลงกันที่จะเลื่อนแผนการดังกล่าวออกไปเป็นระยะเวลา 90 วัน โดยทั้งสองประเทศได้หารือกันในประเด็นการค้าต่างๆ อาทิ การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา

อย่างไรก็ตาม สหรัฐได้กล่าวเตือนว่า "หากทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้หลังสิ้นสุดระยะเวลา 90 วัน สหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้าเป็น 25% จากเดิมที่ระดับ 10%"

ขณะเดียวกัน สหรัฐได้โจมตีจีนในประเด็นการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรมมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การขโมยเทคโนโลยี และการที่รัฐบาลให้การสนับสนุนรัฐวิสาหกิจอย่างมหาศาล

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ปธน.สีได้ตอบรับคำขอจากรัฐบาลสหรัฐหลายข้อ อาทิ การซื้อสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น ซึ่งคาดการณ์กันว่า การที่จีนยอมอ่อนข้อให้สหรัฐนั้นเป็นเพราะสงครามการค้าได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ปธน.สีอาจไม่ยอมประนีประนอมในประเด็นที่สหรัฐต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายในอุตสาหกรรมจีน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี โดยจีนได้ให้คำมั่นว่าจะเป็นผู้นำโลกในด้านหุ่นยนต์ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ ตามยุทธศาสตร์ "Made in China 2025"

นอกจากนี้ ด้วยความที่ปธน.สีต้องการที่จะพัฒนา "แนวคิดสังคมนิยมแบบจีนในโลกยุคใหม่" จีนจึงไม่สามารถผลักดันการปฏิรูปองค์กรรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบสังคมนิยมได้

ทูตยุโรปประจำกรุงปักกิ่งกล่าวว่า "ปธน.สีจะไม่ยอมล้มเลิกนโยบายของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จีนจะยอมทำตามข้อเรียกร้องของปธน.ทรัมป์" ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสองประเทศจะยืดเยื้อต่อไป

ในทางเดียวกัน สหรัฐก็มีมุมมองว่า ความรุนแรงของสงครามการค้านั้นยากที่จะบรรเทาลง หากจีนไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐ

ขณะเดียวกัน ปธน.ทรัมป์ยอมรับว่า เศรษฐกิจจีนมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อคำมั่นสัญญาของเขาที่จะ "ทำให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง" โดยปธน.ทรัมป์ต้องการที่จะสร้างหลักประกันว่า บริษัทสหรัฐสามารถดำเนินธุรกิจในจีนได้โดยปราศจากปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาหรือการขโมยเทคโนโลยี

ด้วยแรงงานและทรัพยากรที่มีอยู่มหาศาล จีนจึงได้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ในการเป็น "โรงงานโลก" โดยหวังที่จะดึงดูดบริษัทต่างชาติให้เข้ามาผลิตสินค้าในประเทศ และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการส่งสินค้าไปขายในสหรัฐและประเทศอื่นๆทั่วโลก

แหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยกับสำนักข่าวเกียวโดว่า สิ่งที่ปธน.ทรัมป์ต้องการคือ การเอาเงินคืนจากจีน ซึ่งหากจีนไม่สามารถเปิดตลาดเสรีให้กับสหรัฐได้ ปธน.ทรัมป์ก็จะไม่หยุดทำสงครามการค้า

ในการประชุมที่กรุงบัวโนส ไอเรส ผู้นำกลุ่ม G20 ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฎิรูปหน้าที่ขององค์กรการค้าโลก (WTO) ซึ่งพุ่งเป้าไปในประเด็นการค้าและการลงทุนที่ไม่เป็นธรรมของจีน

"วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับสหรัฐ" เจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา "นับเป็นครั้งแรกที่ที่ประชุม G20 เห็นพ้องกันว่า WTO ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรได้ และควรมีการปฏิรูปองค์กร"

ทั้งนี้ สหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ต้องการที่จะปฏิรูป WTO ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2538 เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงไปของเศรษฐกิจโลก และเพื่อสร้างหลักประกันถึงความโปร่งใสและเปิดเสรีทางการค้า

ในปัจจุบัน สหรัฐได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนมูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งของสินค้าที่นำเข้ามาจากจีนในแต่ละปี เพื่อเป็นการตอบโต้ที่จีนละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและขโมยเทคโนโลยี รวมถึงการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม

เพื่อเป็นการตอบโต้ ทางการจีนก็ได้สั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐกว่า 80% ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนทุกชนิด หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับปธน.สี ในการหารือนอกรอบการประชุม G20 ได้

หลังจากการเจรจาครั้งแรกที่ฟลอริดาเมื่อเดือนเม.ย. 2560 ปธน.สีและปธน.ทรัมป์เห็นพ้องกันที่จะวางกรอบการหารือระยะเวลา 100 วัน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สหรัฐส่งออกสินค้าไปยังจีนมากขึ้น และแก้ไขปัญหาที่สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนจำนวนมหาศาล

ส่วนในการเดินทางเยือนจีนเมื่อเดือนพ.ย. 2560 ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในข้อตกลงทางธุรกิจระหว่างบริษัทสหรัฐและจีนเป็นวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ ในภาคธุรกิจ การบิน และการผลิต

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจีนได้พยายามทำให้ข้อพิพาททางการค้าคลี่คลายลง แต่สหรัฐก็ได้สั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ