ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐประกาศในระหว่างการแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) เมื่อวันอังคารตามเวลาสหรัฐว่า การประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 ระหว่างเขากับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ จะจัดขึ้นในวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์นี้ ที่ประเทศเวียดนาม
บรรดาผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐเชื่อว่า ทั้งสองฝ่ายเลือกเวลาของการประชุมและสถานที่โดยพิจารณาจากหลายเหตุผล
- ทำไมต้องเป็นเดือนกุมภาพันธ์ในประเทศเวียดนาม?
ดั๊กลาส พาล รองประธานฝ่ายการศึกษาวิจัยที่คาร์เนกี้ เอนโดวเมนต์ ฟอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล พีซ (Carnegie Endowment for International Peace) กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า สถานที่จัดประชุมของผู้นำทั้งสองจะต้องอยู่ใน "ดินแดนที่เป็นกลางและมีห้องพักเพียงพอที่จะรองรับฝูงชน"
ส่วนเหตุผลที่ทั้งสองฝ่ายเลือกที่จะจัดการประชุมในปลายเดือนกุมภาพันธ์นั้น ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า "ทรัมป์ต้องการชัยชนะ ภายหลังการเลือกตั้งและการปิดหน่วยงานรัฐบาล (ชัตดาวน์) รวมถึงการแถลงนโยบายประจำปี และวันหยุดเทศกาลตรุษจีนในปีนี้ทำให้ปลายเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงเวลาที่เร็วที่สุด"
เคล เฟอร์เรีย นักวิชาการสหรัฐที่ทำการศึกษาด้านเกาหลีกล่าวกับซินหัวว่า เวียดนามเป็นทางเลือกเพราะ"ด้านโลจิสติกและในเชิงสัญลักษณ์"
เมื่อพูดถึงกำหนดเวลาของการประชุมนั้น เขาบอกกับซินหัวว่า ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์สำหรับการจัดประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 นั้น "ดูเหมือนจะเป็นเวลาที่เร็วกว่าที่ทั้งทรัมป์และคิมต้องการจะพบกัน"
"การเจรจาระดับคณะทำงานระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือได้สิ้นสุดลงในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากที่นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ และนายสตีฟ บีกัน ผู้แทนพิเศษด้านนโยบายเกาหลีเหนือได้เดินทางไปเยือนกรุงเปียงยาง การเจรจาเหล่านี้เพิ่งจะเริ่มขึ้นใหม่เมื่อไม่นานมานี้ และการประชุมสุดยอดที่เลือกจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นั้น ก็เพื่อให้แนวทางแก่พวกเขาในการจัดการกับประเด็นที่สำคัญๆ และด้านโลจิสติก" เขาอธิบาย
- ยังไม่มีการกำหนดสถานที่จัดประชุมที่เฉพาะเจาะจง
ในขณะที่ทำการประกาศถึงการประชุมสุดยอดนี้ ปธน.ทรัมป์ไม่ได้ระบุถึงสถานที่จัดประชุมที่เฉพาะเจาะจงในเวียดนาม
เจนนา กิบสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกเปิดเผยกับซินหัวว่า มีการคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า การประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 ของทรัมป์และคิมจะเกิดขึ้นในเมืองดานัง ถึงแม้ว่าสถานที่นั้นจะยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการก็ตาม
"ทีมงานของทรัมป์อาจจะยังคงพิจารณาในรายละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าทั้งสองฝ่ายจะเดินอยู่บนรากฐานที่เท่าเทียมกันแม้กระทั่งในเรื่องสถานที่จัดประชุม" เธอกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญยังตั้งข้อสังเกตว่า ปธน.ทรัมป์ได้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ดีในแง่ของนโยบายเกี่ยวกับเกาหลีเหนือของเขา
"เขาอยู่ในตำแหน่งในช่วงเวลาที่เกาหลีเหนือได้เสร็จสิ้นโครงการด้านนิวเคลียร์จนถึงจุดที่นายคิมเต็มใจที่จะเข้าร่วมโต๊ะเจรจา ในเวลาเดียวกันเกาหลีใต้ที่เป็นพันธมิตรของเราก็ได้เลือกประธานาธิบดีที่กระตือรือร้นและเต็มใจที่จะทำงานเพื่อความคืบหน้าในการจัดการกับเกาหลีเหนือ" เธอกล่าว "เพื่อเครดิตของเขา ปธน.ทรัมป์ก็เต็มใจที่จะคว้าโอกาสนี้ และตกลงที่จะจัดประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ในสิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว"
"เป็นสิ่งดีที่ได้เห็นเรื่องของเกาหลีเหนือรวมอยู่ในการแถลงนโยบายในปีนี้ แต่ระยะเวลาที่ปธน.ทรัมป์ใช้ในการพูดถึงนโยบายเกาหลีเหนือของเขานั้นสั้นลงอย่างมากเมื่อเทียบกับในปีที่แล้ว" เธอกล่าว
ปธน.ทรัมป์ได้พบปะกับนายคิมเป็นครั้งแรกในสิงคโปร์เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนปีที่ผ่านมา โดยพวกเขาได้บรรลุฉันทามติทั่วไปหลายข้อที่นำไปสู่การปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงมีอยู่ในประเด็นสำคัญๆ รวมถึงขนาดของการปลดอาวุธนิวเคลียร์ การคว่ำบาตรของสหรัฐต่อเกาหลีเหนือ และการออกแถลงการณ์ยุติสงคราม
- ความท้าทายครั้งใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า
ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐโดยทั่วไปคาดว่า ในการจัดประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 นี้ จะเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นเกี่ยวกับการสร้างความไว้วางใจกันและการปลดอาวุธนิวเคลียร์
เมื่อพูดถึงสิ่งที่ฝ่ายบริหารของทรัมป์ต้องการที่จะได้รับจากการประชุมนั้น นายพาลได้ระบุถึงจุดสิ้นสุดของการประกาศความขัดแย้ง การบรรเทามาตรการคว่ำบาตรขององค์การสหประชาชาติ และการตรวจสอบสถานที่ทดสอบนิวเคลียร์และขีปนาวุธ โดยระบุเสริมว่า เป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายอาจจะบรรลุสิ่งที่พวกเขาต้องการในการประชุมครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม แดน มาฮาฟฟี รองประธานอาวุโสและผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายของศูนย์ศึกษาของประธานาธิบดีและสภาคองเกรสได้กล่าวกับซินหัวว่า เขาไม่แน่ใจว่า ฝ่ายบริหารของปธน.ทรัมป์จะสามารถหาทางออกที่จะยุติโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
ส่วนผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ระบุถึงความสำคัญของการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันในกระบวนการดังกล่าว
ด้านนายเฟอร์เรียกล่าวกับซินหัวว่า "ในการประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 นั้น คณะผู้บริหารของปธน.ทรัมป์ต้องการให้เกาหลีเหนือให้คำมั่นที่จะทำตามขั้นตอนที่แท้จริงไปสู่การปลดอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการยอมรับจากสหรัฐ"
ขณะที่นางกิบสันกล่าวว่าคณะบริหารของปธน.ทรัมป์ต้องการ "สิ่งที่เป็นรูปธรรม" จากการประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 โดยตั้งข้อสังเกตว่า "สำหรับปธน.ทรัมป์นั้น เพื่อความสำเร็จและเพื่อความคุ้มค่าทั้งด้านนโยบายที่ชาญฉลาดและทางการเมืองจากการประชุมสุดยอดครั้งนี้นั้น เขาต้องการการเปลี่ยนแปลงที่เฉพาะเจาะจง ไม่ใช่แค่เพียงคำสัญญาจากนายคิมเท่านั้น"
"ผลลัพธ์ที่อาจจะเป็นรูปธรรมก็คือการเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่การประกาศยุติสงครามเกาหลีอย่างเป็นทางการ โดยนายสตีเฟน บีกัน ผู้แทนพิเศษของสหรัฐสำหรับเกาหลีเหนือได้กล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงในเรื่องนี้ว่า ปธน.ทรัมป์ยินดีที่จะเจรจาเกี่ยวกับการประกาศนี้ รวมไปถึงการดำเนินการอื่นๆเพื่อสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน" เธอกล่าว