Analysis: ผู้เชี่ยวชาญประสานเสียงชี้สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านให้ผลในทิศทางตรงกันข้าม

ข่าวเศรษฐกิจ Friday May 3, 2019 16:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ความตั้งใจของสหรัฐที่จะสกัดการส่งออกน้ำมันของอิหร่านลงโดยสิ้นเชิงนั้น อาจส่งผลกระทบต่อทั้งสหรัฐและนานาประเทศ ภายหลังจากการผ่อนผันให้กับผู้ซื้อน้ำมันอิหร่านเป็นระยะเวลา 180 วันของสหรัฐนั้น ได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวานนี้

ทำเนียบขาวประกาศเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ว่า สหรัฐจะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรอีกครั้งกับทุกประเทศที่นำเข้าน้ำมันจากอิหร่านตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 2 พ.ค.เป็นต้นไป

นายไบรอัน ฮุค ผู้แทนพิเศษสหรัฐสำหรับอิหร่านเปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัวว่า "เรากำลังจะทำให้อิหร่านถูกตัดขาดทางเศรษฐกิจ เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของอิหร่าน"

ฝ่ายอิหร่านนั้น นายโมฮัมหมัด จาวาด ซารีฟ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของอิหร่านกล่าวเมื่อวานนี้ว่า อิหร่านจะไม่ยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดันของสหรัฐ

นายซารีฟกล่าวที่กรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ว่า "เราจะหาทางเพื่อรับมือกับแรงกดดันของสหรัฐ เราได้ดำเนินการดังกล่าวมา 40 ปีแล้ว และเราก็จะทำเช่นนั้นในตอนนี้ด้วยเช่นกัน"

นางบาร์บารา สเลวิน ผู้อำนวยการของโครงการริเริ่มอนาคตอิหร่านของสภาแอตแลนติก ระบุว่า การตัดสินใจของสหรัฐได้ให้ผลในทางตรงกันข้าม

นางสลาวินระบุว่า "การตัดสินใจของสหรัฐก่อให้เกิดผลตรงกันข้าม เพราะจะไม่ทำให้อิหร่านกลับสู่โต๊ะเจรจา และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีในระดับภูมิภาคของอิหร่านได้อย่างมีนัยสำคัญ"

ทั้งนี้ เพื่อตอบโต้ต่อความเป็นปรปักษ์ของสหรัฐนั้น อิหร่านอาจตอบโต้ด้วยการทำให้การบรรลุข้อตกลงกับกลุ่มตาลีบันในอัฟกานิสถานกับสหรัฐเป็นเรื่องที่ลำบากมากยิ่งขึ้น และเสริมว่า อิหร่านอาจกดดันอิรักให้ขับไล่กองทัพของสหรัฐด้วย และจะทำให้สถานการณ์ในเยเมนเลวร้ายลงไปอีก

นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์กันอย่างกว้างขวางด้วยว่า ความเคลื่อนไหวของสหรัฐจะเผชิญกับการตอบโต้จากกลุ่มผู้นำเข้าน้ำมันอิหร่านรายใหญ่

ตุรกีระบุว่า จะไม่ยอมรับการคว่ำบาตรต่อการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน และเตือนว่า การดำเนินการของสหรัฐที่ยุติการยกเว้นการนำเข้าน้ำมันของอิหร่านนั้น จะไม่ช่วยสนับสนุนสันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาค

ด้านนายฮิโรชิเกะ เซโกะ รมว.อุตสาหกรรมของญี่ปุ่นกล่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า ความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับอิหร่านนั้นมีความสำคัญ โดยเสริมว่า ญี่ปุ่นจะหาทางหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อันตรายอันเนื่องมาจากการตัดสินใจของสหรัฐที่มีต่อปริมาณพลังงานของญี่ปุ่น

ในช่วงต้นสัปดาห์นี้ นายไมค์ ปอมเปโอ รมว.ต่างประเทศของสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐจะหาทางรักษาเสถียรภาพตลาดน้ำมันโลก หลังจากที่สหรัฐตัดสินใจไม่ขยายระยะเวลาในการยกเว้นมาตรการคว่ำบาตรสำหรับการซื้อน้ำมันจากอิหร่าน

"เราเชื่อว่า เราจะสามารถรับประกันได้ว่า ตลาดจะมีปริมาณน้ำมันที่เพียงพอ เราจะยังคงดำเนินการตามนั้น" เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเดอะฮิลล์

แม้ทำเนียบขาวได้ระบุหลายครั้งว่า ซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) จะร่วมมือกันเพื่อชดเชยปริมาณน้ำมันอิหร่านที่หายไปในตลาด สหรัฐก็อาจจะเผชิญกับความยากลำบากในการรักษาเสถียรภาพตลาด

ซาอุดิอาระเบียระบุว่า จะร่วมมือกับผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นๆ ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อรับประกันในเรื่องปริมาณน้ำมัน ขณะที่นายซูเฮล โมฮัมหมัด อัล มัสรูอี รัฐมนตรีพลังงานของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ระบุว่า UAE จะดำเนินการในสิ่งที่จำเป็นเพื่อสร้างสมดุลให้กับตลาด

นายแรนดอล์ฟ เบลล์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานโลกของสภาแอตแลนติกระบุว่า แถลงการณ์ที่คลุมเครือของซาอุดิอาระเบีย บ่งชี้ว่า ซาอุฯอาจหาประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในระยะสั้น

เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่องในเวเนซุเอลาและลิเบีย ซึ่งเป็นสองผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่นั้น บรรดาผู้สังเกตการณ์เชื่อว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะยังคงอยู่ที่ระดับสูงในอนาคตอันใกล้

ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีโดยนัลด์ ทรัปม์ ไม่ต้องการที่จะได้ยิน โดยสื่อรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้ทวีตมากกว่า 10 ครั้งเกี่ยวกับราคาน้ำมันระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาในช่วง 2 ปีแรก

โพลิติโคซึ่งเป็นสำนักข่าวการเมืองของสหรัฐแสดงความเห็นว่า "ความพยายามของปธน.ทรัมป์ที่จะตรึงราคาน้ำมัน เกิดขึ้นจากการตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของน้ำมันในระบบเศรษฐกิจ"

"ราคาน้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถทำให้ปริมาณเงินของผู้บริโภคลดลงอย่างรวดเร็วนั้น มีความสัมพันธ์เสียเป็นส่วนใหญ่กับภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2" โพลิติโคระบุ

นายทิม แดสส์ นักวิเคราะห์ตลาดน้ำมันของ Oilprice.com ระบุว่า การตัดสินใจของปธน.ทรัมป์ที่ยุติการยกเว้นการนำเข้าน้ำมันของอิหร่านนั้น เป็นการยิงใส่เท้าของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2563 กำลังจะเริ่มต้นขึ้น และกลุ่มผู้ลงคะแนนเสียงมีความวิตกกังวลอยู่แล้วเกี่ยวกับราคาน้ำมันเบนซินที่สูงขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ