สื่อเกาหลีใต้รายงานว่า ความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นอาจทำลายเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ เนื่องจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่นมีความเกี่ยวพันกันในห่วงโซ่อุปทานและอุปสงค์ทั่วโลก
หนังสือพิมพ์รายวัน NoCut News ของ Christian Broadcasting System (CBS) ในเกาหลีใต้รายงานในวันพุธ โดยระบุถึงการพึ่งพาซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจว่า หากความขัดแย้งในปัจจุบันลุกลามไปเป็นสงครามการค้า ก็จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
สื่อเกาหลีใต้ระบุว่า เกาหลีใต้เป็นประเทศส่งออกรายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของญี่ปุ่น และเป็นประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดอันดับ 5 ของญี่ปุ่น
ในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์นั้น มีการพึ่งพากันแบบทวิภาคีเป็นอย่างมาก โดยในปี 2560 ญี่ปุ่นส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับชิปมูลค่า 1.04 หมื่นล้านดอลลาร์ให้กับเกาหลีใต้ โดยคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 5 ของยอดส่งออกทั้งหมดของญี่ปุ่นไปยังเกาหลีใต้
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รายงานดังกล่าวมีขึ้น หลังจากญี่ปุ่นประกาศแผนการเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาที่จะกำหนดมาตรการจำกัดการส่งออกตั้งแต่วันพฤหัสบดีนี้สำหรับวัสดุสำคัญ 3 ชนิดให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของเกาหลีใต้
วัสดุดังกล่าวได้แก่ fluorinated polyimide, hydrogen fluoride และ polymer resist ที่ใช้ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และจอภาพ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ต่อการผลิตทีวีและสมาร์ทโฟน
รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ประณามมาตรการดังกล่าว โดยระบุว่าเป็น "การตอบโต้ทางเศรษฐกิจ" ซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของการค้าเสรี และกฎระเบียบขององค์การการค้าโลก (WTO) โดยเกาหลีใต้ยืนยันที่จะยื่นฟ้องต่อ WTO เพื่อคัดค้านมาตรการของญี่ปุ่น และจะดำเนินการตามขั้นตอนอื่นๆ ที่จำเป็นตามกฎหมายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
หนังสือพิมพ์โซลชิมบุน คาดการณ์ว่า ความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นจะไม่พัฒนาไปเป็นสงครามการค้า เนื่องจากญี่ปุ่นจะได้รับความเสียหายด้วยจากความขัดแย้งด้านการค้าที่ยืดเยื้อ
โซลชิมบุนระบุว่า เมื่อพิจารณาจากสต็อกของวัสดุทั้ง 3 รายการนั้น ผู้ผลิตชิปของเกาหลีใต้สามารถรับมือได้เป็นเวลา 2-3 เดือน ซึ่งอาจเป็นโอกาสสำหรับบริษัทภายในประเทศที่จะลดสต็อกชิปส่วนเกิน
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากวัฏจักรธุรกิจขาลง และอุปทานล้นตลาด ซึ่งทำให้ราคาชิปร่วงลงอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์คาดว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะยังคงรักษาสถานะที่แข็งกร้าวต่อเกาหลีใต้ไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจาก รัฐบาลญี่ปุ่นเชื่อว่า ความขัดแย้งที่รุนแรงกับเกาหลีใต้อาจเป็นประโยชน์กับพรรครัฐบาลญี่ปุ่นในการเลือกตั้งรัฐสภาที่จะจัดขึ้นในเดือนนี้
นายโยชิฮิเดะ สึกะ หัวหน้าเลขานุการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า การควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดขึ้นไปยังเกาหลีใต้เกิดขึ้น เนื่องจากเกาหลีใต้ไม่สามารถหาทางออกที่น่าพอใจต่อความขัดแย้งด้านแรงงานยุคสงครามระหว่างสองประเทศ
ญี่ปุ่นได้ประท้วงการตัดสินของศาลสูงสุดของเกาหลีใต้ในช่วงที่ผ่านมา ที่ให้บริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น อาทิ นิปปอน สตีล และ มิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสทรีส์ ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับชาวเกาหลีใต้ที่ถูกบังคับใช้แรงงานอย่างหนักโดยไม่จ่ายค่าจ้างในช่วงสงครามโลก
คาบสมุทรเกาหลีตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2453-2488 โดยนักประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ระบุว่า คนหนุ่มสาวชาวเกาหลีใต้อย่างน้อย 700,000 คน ได้ถูกบังคับใช้แรงงานในยุคอาณานิคม
ญี่ปุ่นอ้างว่า ประเด็นการชดใช้ค่าเสียหายได้ยุติผ่านข้อตกลงปี 2508 ซึ่งทำให้การดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นกลับคืนสู่ภาวะปกติหลังยุคอาณานิคม แต่เกาหลีใต้ระบุว่า ข้อตกลงปี 2508 ไม่ได้ระบุถึงสิทธิของแต่ละบุคคลที่จะเรียกร้องขอเงินชดเชยสำหรับการถูกบังคับใช้แรงงานอย่างยากลำบากในช่วงสงคราม
สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้ระบุในบทวิจารณ์ว่า การตอบโต้ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่อิงกับประเด็นทางประวัติศาสตร์นั้น เป็นมาตรการที่น่าละอาย ซึ่งทำให้เกิดความวิตกว่า ความขัดแย้งทางการทูตที่ซับซ้อนนั้น จะไม่สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว
บทวิจารณ์ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า มาตรการของญี่ปุ่นนั้นเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งรัฐสภาญี่ปุ่นที่กำลังจะมีขึ้น และเสริมว่า มาตรการนั้น จะไม่เป็นผลดีกับเศรษฐกิจเกาหลีใต้ ซึ่งมียอดส่งออกลดลงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันแล้วจนถึงเดือนมิ.ย.