การโจมตีโรงงานผลิตน้ำมันที่สำคัญของซาอุดีอาระเบียทำให้ราคาน้ำมันทั่วโลกพุ่งขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบในระยะสั้นต่อตลาด และเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบที่จำกัด
ทั้งนี้ มีรายงานการโจมตีด้วยโดรนในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา และเกิดระเบิดหลายครั้งที่โรงงานน้ำมันของบริษัทซาอุดี อารามโคในเขตอับกาอิก (Abqaiq) และคูราอิส (Khurais) ทางตะวันออกของประเทศ ซึ่งทำให้เกิดเพลิงไหม้ แต่เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ในเวลาต่อมา
ซาอุดี อารามโครายงานว่า หลังจากการโจมตีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา การผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย ลดลง 5.7 ล้านบาร์เรล หรือประมาณ 50% ของการผลิตรายวัน
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันรวมของซาอุดีอาระเบียอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน และโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 9.85 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนส.ค.
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งสูงถึง 19% ในการซื้อขายระหว่างวันก่อนที่จะปิดตลาดวานนี้ที่ 69.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 14.61% ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นมากกว่า 14% เช่นกัน
นักวิเคราะห์กล่าวว่า สต็อกน้ำมันดิบทั่วโลกสามารถรองรับการขาดแคลนน้ำมันของซาอุดิอาระเบียได้ในระยะสั้น
"เราประเมินว่ามีสต็อกน้ำมันประมาณ 6.1 พันล้านบาร์เรล หรือสำหรับรองรับความต้องการทั่วโลกได้ 61 วัน" นางแคโรไลน์ เบน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สินค้าโภคภัณฑ์ของแคปิตอล อีโคโนมิกส์กล่าว
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า เขาได้อนุญาตให้มีการระบายน้ำมันจากคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ หลังจากการโจมตีโรงงานผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย
ด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุในแถลงการณ์ว่า IEA กำลังติดตามสถานการณ์ในซาอุดีอาระเบียอย่างใกล้ชิด
"เรากำลังติดต่อกับทางการซาอุดิอาระเบีย รวมถึงประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภครายใหญ่ โดยในขณะนี้ ตลาดมีปริมาณน้ำมันเชิงพาณิชย์ในปริมาณที่เพียงพอ" แถลงการณ์ของ IEA ที่เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
นางเบนกล่าวว่า หากซาอุดี อารามโค กลับมาผลิตน้ำมันได้อย่างเต็มที่ในสัปดาห์หน้าหรือราวๆ นั้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุด ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ก็จะลดลงสู่ระดับ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลภายในสิ้นปีนี้
นางเบนตั้งข้อสังเกตว่า ในกรณีที่สถานการณ์ไฟดับยังเกิดขึ้นต่อไป และมีการคุกคามอย่างต่อเนื่องจากการโจมตีเพิ่มขึ้น สต็อกน้ำมันก็จะลดลงเร็วขึ้น และจะเกิดความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนอุปทาน
นางเบนคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีนี้ และจะอยู่ที่ระดับดังกล่าวเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากค่าพรีเมียมความเสี่ยงที่สูงขึ้น ท่ามกลางความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ผลกระทบของเหตุการณ์ดังกล่าวที่มีต่อเศรษฐกิจโลกนั้น เป็นไปอย่างจำกัดในขณะนี้
"ในขณะที่การโจมตีดังกล่าวเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลกที่ถูกกดดันอยู่แล้วจากการชะลอตัวของกิจกรรมการผลิตและความตึงเครียดทางการค้าที่สูงขึ้นนั้น แต่เราไม่เชื่อว่า ภาวะชะงักงันในระยะสั้นของการผลิตน้ำมัน จะทำให้เศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก" นายมาร์ค แฮฟีเล่ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุนของยูบีเอส เวลธ์ แมเนจเมนต์ และทีมวิจัยของเขาระบุเมื่อวานนี้