ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ประกาศว่า นายอาบู บัคร์ อัล-บักดาดี หัวหน้ากลุ่มรัฐอิสลาม (IS) เสียชีวิตจากการปฏิบัติการของกองทัพสหรัฐในซีเรีย อย่างไรก็ดี แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐกล่าวปราชัยเหนือการเสียชีวิตของนายบักดาดี แต่ผู้เชี่ยวชาญและอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐกลับเตือนว่า การต่อสู้กับกลุ่มการร้ายนั้นยังอีกยาวไกล
ปธน.ทรัมป์แถลงที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ว่า กองกำลังปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐได้บุกพื้นที่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียในคืนวันเสาร์ โดยมีเป้าหมายที่นายบักดาดี ขณะที่นายบักคาดีได้จุดชนวนระเบิดที่เสื้อเกราะเพื่อปลิดชีพตนเอง
นายบักดาดี วัย 48 ปี ซึ่งมีชื่อเดิมว่า อิบราฮิม อาวัด อัล-บาดรี ได้ประกาศการก่อตั้งรัฐอิสลามเมื่อเดือนมิ.ย. 2557
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีรายงานการเสียชีวิตของนายบักดาดีอยู่หลายครั้ง แต่ยังไม่มีรายงานใดที่ได้รับการยืนยัน เมื่อปี 2559 กระทรวงต่างประเทศสหรัฐตั้งรางวัลสำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุมหรือสังหารผู้นำ IS สูงถึง 25 ล้านดอลลาร์
"กองกำลังปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐเปิดฉากโจมตีในช่วงกลางคืนในพื้นที่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย ซึ่งเป็นภารกิจที่อันตรายและต้องใช้ความกล้าหาญ และกองกำลังชุดดังกล่าวสามารถบรรลุภารกิจของพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่" ทรัมป์กล่าว
ทรัมป์เปิดว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่สหรัฐเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติการครั้งนี้ และกองทัพสหรัฐยังได้รับ "ข้ออมูลและหลักฐานที่มีความอ่อนไหวสูง" จากการบุกโจมตีครั้งด้วย
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวขอบคุณรัสเซีย ตุรกี ซีเรีย อิรัก และกองกำลังชาวเคิร์ด โดยระบุว่าภารกิจดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นจากความช่วยเหลือของผู้คนและประเทศอื่นๆ
นักวิเคราะห์มองว่า การเสียชีวิตของนายบักดาดีอาจเป็นทรัพย์สินทางการเมืองที่มีค่าสำหรับทรัมป์ หลังจากที่เขาได้รับคำวิจารณ์อย่างรุนแรงในสหรัฐเกี่ยวกับการตัดสินใจถอนกองกำลังทหารออกจากซีเรีย โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะเห็นว่าอาจนำไปสู่การฟื้นตัวของกลุ่ม IS
การปฎิบัติการนี้จะช่วยให้ทรัมป์สามารถสยบคำวิจารณ์ดังกล่าวและอ้างเครดิตจากความพ่ายแพ้ของ IS นักวิเคราะห์กล่าว
ริชาร์ด ฮาสส์ ประธานสภาวิเทศสัมพันธ์ของสหรัฐ ทวีตข้อความว่า "ตลกร้ายของการปฎิบัติการที่ประสบความสำเร็จครั้งนี้คือ มันอาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากกองกำลังสหรัฐที่ถูกถอนกำลังออกจากพื้นที่ ความช่วยเหลือจากกองกำลังชาวเคิร์ดที่ถูกหักหลัง และการสนับสนุนจากหน่วยข่าวกรองของสหรัฐที่มักถูกดูหมิ่น
เจ้าหน้าที่สหรัฐเห็นพ้องกับข้อความบนทวิตเตอร์ของนายฮาสส์บางส่วน ขณะที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของสหรัฐว่า กองกำลังชาวเคิร์ดและอิรักส่งมอบข้อมูลลับแก่สหรัฐสำหรับการจู่โจมมากกว่าประเทศใด
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น นายมาร์ก เอสเปอร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐกล่าวว่า เขาไม่ทราบว่าสหรัฐจะสามารถเปิดฉากจู่โจมนายบักดาดีทางเฮลิคอปเตอร์ได้หรือไม่ หากกองทัพสหรัฐถูกถอนกำลังออกจากซีเรียโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ดี แม้ว่ารัฐบาลของทรัมป์อ้างว่าปฎิบัติการทางทหารครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผู้เชี่ยวชาญและอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐบางรายมองว่าการเสียชีวิตของนายบักดาดีไม่ได้สลักสำคัญเท่าใดนัก พร้อมยืนยันว่าการตายของเขาไม่อาจยุติการก่อการร้ายของกลุ่ม
ไมเคิล สมิธ เดอะเซคคั่น นักวิเคราะห์ด้านก่อการร้ายจากโครงการความปลอดภัยระดับโลก ประจำมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ แสดงความกังวลว่า การสังหารนายบักดาดีโดยกองกำลังสหรัฐนั้น อาจกลายเป็นเครื่องมือในการเปิดรับสมัครบุคลากรสำหรับ IS
จาเว็ด อาลี อดีตผู้อำนวยการอาวุโสด้านการต่อต้านการก่อการร้าย ประจำสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ กล่าวว่า การเสียชีวิตของนายบักดาดีไม่ได้นำไปสู่การพ่ายแพ้เชิงยุทธศาสตร์ของกลุ่ม IS ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีความยืดหยุ่นแม้ว่าจะมีการสูญเสียชีวิตก็ตาม
"นั่นเป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้หลังจากการเข้าจู่โจมบิน ลาเดน"
เจนนิเฟอร์ คาฟาเรลลา ผู้อำนวยการของสถาบันเพื่อการศึกษาเรื่องสงครามในกรุงวอชิงตัน ได้กล่าวถึงกรณีของโอซามา บินลาเดนเช่นกัน โดยเธอให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ว่า กลุ่มอัล-กออิดะห์ ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั่วโลก แม้หลังจากที่ทหารสหรัฐสังหารผู้ก่อตั้งและอดีตผู้นำกลุ่มก่อการร้ายผู้นี้ไปเมื่อปี 2554 ก็ตาม
"น่าเสียดายที่การสังหารผู้นำไม่สามารถเอาชนะองค์กรก่อการร้ายได้" นางคาฟาเรลลา กล่าว
นายฮัสซัน ฮัสซัน ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางจากศูนย์กลางนโยบายระดับโลก แสดงความคิดเห็นที่คล้ายกันว่า เขาคาดการณ์ว่ากลุ่ม IS จะยังรักษาพันธมิตรในต่างประเทศไว้ได้ส่วนใหญ่ และกลุ่ม IS ในอิรักและซีเรียจะไม่รู้สึกขวัญเสีย แต่กลับจะได้รับการฟื้นฟู
นายเจมส์ เจฟฟรีย์ ผู้แทนพิเศษของสหรัฐฝ่ายกิจการซีเรียและกลุ่มต่อต้าน ISIS (รัฐอิสลาม) เปิดเผยในระหว่างการพิจารณาคดีของรัฐสภาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีนักโทษ IS กว่า 100 ราย หลบหนีไปทางทิศเหนือของซีเรีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตุรกีได้เปิดฉากปฏิบัติการทางทหารกับกองกำลังชาวเคิร์ดเมื่อไม่นานมานี้
ทางด้านนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ เรียกร้องให้สหรัฐยังคงรักษาแรงกดดันต่อกลุ่มก่อการร้าย
"ภารกิจดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากความวุ่นวายในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาทางตอนเหนือของซีเรียทำให้กองกำลังชาวเคิร์ดและสหรัฐตกอยู่ในอันตรายในปฏิบัติการขับไล่ ISIS จากฐานที่มั่นในซีเรีย" นายไบเดนกล่าว พร้อมกับกล่าวทิ้งท้ายว่า "เราไม่ควรละสายตาไปจากเป้าหมายนี้"