ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติแสดงความเห็นต่อกรณีที่ไทยกำลังผลักดันการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) ที่มีกาสิโนถูกกฎหมายรวมอยู่ด้วย โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเพิ่มการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว หลังแนวคิดดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมากในมาเก๊า โดยปัจจุบัน มาเก๊าแซงหน้าลาสเวกัสขึ้นเป็นศูนย์กลางกาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่สิงคโปร์เองก็ประสบความสำเร็จกับการเปิดกาสิโน 2 แห่งเมื่อ 14 ปีที่แล้ว
เบน ลี หุ้นส่วนผู้จัดการของไอเกมมิกซ์ เมเนจเมนต์ แอนด์ คอลซัลติง (IGamiX Management and Consulting) บริษัทที่ปรึกษาอุตสาหกรรมกาสิโนระดับโลกที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในมาเก๊า กล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) ว่า หากไทยผ่านร่างกฎหมายที่ทำให้การเปิดกาสิโนเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วละก็ ไทยก็อาจกลายเป็นคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดของมาเก๊าและสิงคโปร์ภายในสิ้นทศวรรษนี้
"ไทยคงได้เห็นแล้วว่าการสร้างกาสิโนให้อะไรกับสิงคโปร์บ้าง และได้เห็นถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากธุรกิจการพนันในมาเก๊า หากไทยทำให้ธุรกิจนี้เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย สิ่งนี้ก็อาจทำให้ไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก" ลีกล่าว
แม้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย แต่การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศยังคงอ่อนแอ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 และคาดว่าการฟื้นตัวจะไม่เกิดขึ้นจนกว่านักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน จะกลับมาเที่ยวไทยคึกคักเหมือนช่วงก่อนหน้านี้
ไทยซึ่งมีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 28 ล้านคนในปี 2566 ซึ่งลดลงอย่างมากจำนวนนักท่องเที่ยวเกือบ 40 ล้านคนในปี 2562
"ไทยเป็นตลาดท่องเที่ยวที่ทุกประเทศในภูมิภาคต่างก็หวาดกลัว แต่ไทยกลับยังเผชิญกับความยากลำบากในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้เติบโตหลังการระบาด" ลีกล่าว
ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา อดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้สั่งการเรื่องการติดตามการดำเนินการสถานบันเทิงครบวงจร พร้อมมอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย และเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้แม้แพทองธาร ชินวัตร จะเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทยแทน แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าร่างกฎหมายนี้ยังคงมีแนวโน้มที่จะถูกผลักดันต่อไป
"แม้สถานการณ์ทางการเมืองของไทยมีความผันผวน แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อแผนการสร้างกาสิโน โดยหากกฎหมายผ่าน ก็คาดว่ากาสิโนของไทยจะสามารถสร้างรายได้ 1.87 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)" หยินเส้าหยาง นักวิเคราะห์จากเมย์แบงก์ อินเวสต์เมนต์ แบงก์ กล่าว
*ส่องความเห็นนักวิเคราะห์ประเด็นที่ตั้งกาสิโน
ประเด็นที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุดจากบรรดาผู้สังเกตการณ์ในแวดวงอุตสาหกรรมก็คือ จังหวัดใดในประเทศไทยมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นสถานที่ตั้งกาสิโน โดยแม้ว่ารัฐบาลยังไม่ได้ประกาศสถานที่ตั้งกาสิโนอย่างเป็นทางการ แต่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากาสิโนอาจจะไม่ได้ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย
สำหรับในเรื่องนี้ นักวิเคราะห์จากเมย์แบงก์ อินเวสต์เมนต์ แบงก์ กล่าวว่า "กรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่พัฒนาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพัฒนาเพิ่มเติม ผมไม่คิดว่ายังมีที่ดินเปล่าเหลืออยู่อีกในกรุงเทพฯ" ดังนั้นความเป็นไปได้คือกาสิโนอาจจะถูกสร้างในจังหวัดที่มีประชากรหนาแน่นน้อยกว่า และอยู่บริเวณระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของไทย เช่น ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา"
เขายังคาดการณ์ด้วยว่า เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอื่น ๆ เช่น ภูเก็ต กระบี่ เชียงใหม่ และพัทยา ก็อาจจะเป็นที่ตั้งของกาสิโนได้ด้วยเช่นกัน
ขณะที่อัลลัน ซีแมน ประธานบริษัทลานไควฟง กรุ๊ป (Lan Kwai Fong Group) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แสดงความเห็นว่า โครงการกาสิโนของไทยมีความแตกต่างจากโมเดลของมาเก๊า โดยที่มาเก๊านั้น "คุณจะเห็นกาสิโนหลายแห่งรวมกลุ่มกันเหมือนกับที่ลาสเวกัส"
ทั้งนี้ ซีแมนกล่าวว่า เขาไม่มั่นใจว่าอนาคตของกาสิโนไทยจะประสบความสำเร็จได้มากแค่ไหน โดยกล่าวว่า "รัฐบาลของหลายประเทศชอบเปิดกาสิโนในพื้นที่ที่ยังไม่พัฒนา เพราะคิดว่าการสร้างกาสิโนจะช่วยพัฒนาพื้นที่เหล่านี้ แต่การเปิดกาสิโนเพียงแห่งเดียวในเมืองที่กำลังพัฒนานั้นให้ผลไม่เหมือนกัน"
ด้านแกรี โบเวอร์แมน ผู้อำนวยการเช็ก-อินเอเชีย (Check-in Asia) บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทาง กล่าวว่า ไทยอาจจะทำตามโมเดลของสิงคโปร์ด้วยการสร้างรีสอร์ตแบบบูรณาการที่มีกิจกรรมสำหรับผู้ที่ไม่เล่นกาสิโนด้วย
"ดูอย่างมารินา เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) ที่นั่นมีบาร์สุดหรูด้านบน มีสระว่ายน้ำกว้างใหญ่ โรงแรม พิพิธภัณฑ์ และร้านอาหาร คนหนุ่มสาวที่ไม่ได้มาเล่นการพนันก็ได้ประโยชน์จากสถานที่เหล่านี้ด้วย" โบเวอร์แมนกล่าว
- โพลชี้คนไทยค้านเปิดกาสิโน
แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญต่างชาติมีมุมมองว่าโครงการเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ จะสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว แต่โพลสำรวจความเห็นล่าสุดบ่งชี้ว่า ชาวไทยไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ เนื่องจากเกรงว่าจะเพิ่มปัญหาให้กับสังคมไทย รวมทั้งกังวลผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจใต้ดิน ผลกระทบต่อหนี้สินครัวเรือน ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่อาจเพิ่มขึ้น ตลอดจนต้นทุนทางสังคมจากปัญหาการติดการพนัน
โดยวานนี้ (1 ก.ย.) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อแนวคิดเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตการลงทุนเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ที่มีทั้งกาสิโน สวนสนุก และโรงแรม พบว่า 44.81% ไม่เห็นด้วยเลย ขณะที่ 19.39% เห็นด้วยมาก รองลงมาคือ 17.79% ค่อนข้างเห็นด้วย 16.72% ไม่ค่อยเห็นด้วย และ 1.29% ไม่ตอบ/ไม่สนใจ