เบอร์นันเก้กล่าวว่า การตัดสินใจว่าจะลดขนาดโครงการซื้อสินทรัพย์นั้น จะขึ้นอยู่กับข้อมูลด้านตลาดแรงงานที่เฟดได้รับ หรือมีข้อมูลบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้กล่าวว่า การคุมเข้มด้านการเงินซึ่งเป็นเหตุให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมควรให้เกิดขึ้น
ทั้งนี้ เบอร์นันเก้กล่าวว่า "มี 3 ปัจจัยที่จะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยแรกคือข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น เมื่อนักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น อัตราดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นด้วย ปัจจัยที่ 2 คือ การที่นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงในตลาด และปัจจัยที่ 3 นั้น เกี่ยวข้องกับการสื่อสารของเฟดและการที่ตลาดตีความนโยบายของเฟด"
การแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐในช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยนับเป็นการแถลงนโยบายเศรษฐกิจรอบครึ่งปีในวันสุดท้ายของเบอร์นันเก้ ส่วนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เบอร์นันเก้แถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐว่า เฟดจะไม่กำหนดตารางเวลาเกี่ยวกับการลดขนาดโครงการซื้อพันธบัตรเอาไว้ล่วงหน้าอย่างแน่นอน และการปรับขนาดโครงการซื้อพันธบัตรซึ่งปัจจุบันอยู่ที่วงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนนั้น เฟดจะดำเนินการโดยอิงตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก
เบอร์นันเก้ยังคงย้ำมุมมองของเขาที่เคยกล่าวไว้เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาว่า "เราจะพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจเป็นหลัก หากข้อมูลเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ เราก็จะดำเนินการลดขนาดโครงการซื้อพันธบัตรให้เร็วขึ้น แต่หากข้อมูลที่ออกมาไม่สอดคล้องกับการคาดการณ์ เราก็อาจจะชะลอการดำเนินการดังกล่าว หรืออาจจะเพิ่มขนาดโครงการซื้อพันธบัตร"