กระแสคาดการณ์ส่วนใหญ่บ่งชี้ว่า เฟดอาจจะยังคงเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตร หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อไป หลังจากที่เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดกล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐว่า นโยบายการเงินที่มีความผ่อนคลายอย่างมากในอนาคตนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐ
เบอร์นันเก้กล่าวย้ำในเวลาต่อมาว่า การปรับขนาดโครงการซื้อพันธบัตรซึ่งปัจจุบันอยู่ที่วงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนนั้น เฟดจะดำเนินการโดยอิงตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งหากข้อมูลเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ เฟดก็จะดำเนินการลดขนาดโครงการซื้อพันธบัตรให้เร็วขึ้น แต่หากข้อมูลที่ออกมาไม่สอดคล้องกับการคาดการณ์ เราก็อาจจะชะลอการดำเนินการดังกล่าว หรืออาจจะเพิ่มขนาดโครงการซื้อพันธบัตรหากเห็นว่าจำเป็น
ถ้อยแถลงของเบอร์นันเก้ทำให้นักลงทุนหันมาจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐเรื่อยมา และที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษคือการประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ช่วงไตรมาส 2/2556 ครั้งแรก ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่า จีดีพีสหรัฐจะขยายตัว 1.1% และตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนก.ค.ที่จะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 175,000 ราย และคาดว่า อัตราว่างงานจะลดลงเล็กน้อยสู่ระดับ 7.5%
ในช่วงปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกตกอยู่ในภาวะผันผวนอย่างหนัก หลังจากเบอร์นันเก้ออกแถลงการณ์ภายหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า เฟดจะเริ่มลดขนาดโครงการซื้อพันธบัตร หรือมาตรการ QE ในปลายปีนี้ หากเศรษฐกิจฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้
นายพอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลชาวสหรัฐ กล่าวว่า การที่เบอร์นันเก้ออกมาส่งสัญญาณว่าจะลดขนาด QE นั้น ถือเป็น "การส่งสัญญาณที่ผิด" เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังคงอ่อนแอ
"เรายังคงอยู่ในช่วงเวลาของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในระดับต่ำ และการส่งสัญญาณที่ย่ำแย่ของเฟดได้ลดโอกาสที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำดังกล่าวในเร็วๆนี้" ครุกแมนกล่าว
ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์นั้น คาดว่า เฟดจะเริ่มลดปริมาณการซื้อพันธบัตรลงในการประชุมเดือนก.ย.นี้ ขณะที่เบอร์นันเก้ระบุว่า ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินประเด็นที่ว่า เฟดจะเริ่มลดปริมาณการซื้อพันธบัตรลงในเดือนก.ย.นี้หรือไม่