“เจ้าหน้าที่บางรายเน้นถึงความสำคัญของการอดทนรอและการประเมินข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ก่อนที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนอัตราการซื้อสินทรัพย์" รายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ระบุ
“ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่รายอื่นๆชี้ถึงแผนที่มีความเป็นไปได้ดังกล่าว ซึ่งได้มีการระบุถึงในนามของคณะกรรมการเมื่อเดือนก่อนหน้า และมองว่าในเร็วๆนี้อาจจะถึงเวลาที่จะชะลอสัดส่วนการซื้อสินทรัพย์ลงบ้างตามที่ระบุไว้ในแผนดังกล่าว"
โดยทั่วไปแล้ว เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะกระเตื้องขึ้นบ้างในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และจะแข็งแกร่งมากขึ้นหลังจากนั้น ขณะที่ปัจจัยต่างๆที่ได้รับการระบุว่ามีแนวโน้มจะหนุนการปรับตัวขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้น ได้รวมถึงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมาก, ผลกระทบที่ลดน้อยลงจากการคุมเข้มทางการคลัง และความแข็งแกร่งต่อเนื่องในภาคที่อยู่อาศัย
เมื่อเดือนมิ.ย. นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดได้ประกาศแผนเบื้องต้นที่เฟดจะเริ่มลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ที่มีวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน ภายในปีนี้ หากเศรษฐกิจยังคงปรับตัวดีขึ้นตามที่คาด
เจ้าหน้าที่เฟดจึงได้เน้นย้ำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับการลดปริมาณการซื้อพันธบัตรจะขึ้นอยู่กับข้อมูลทางเศรษฐกิจ ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมาข้อมูลเศรษฐกิจออกมาไร้ทิศทาง และแถลงการณ์หลังการประชุมในเดือนก.ค.ก็แทบไม่มีข้อมูลใหม่ๆที่นอกเหนือจากการประกาศของนายเบอร์นันเก้
นักลงทุนต่างกำลังจับตารายงานการประชุมประจำเดือนก.ค. ขณะที่มีการคาดการณ์ในวงกว้างว่าเฟดจะเริ่มชะลอการซื้อสินทรัพย์ในเดือนก.ย.เป็นอย่างเร็ว
นับตั้งแต่วิกฤตการเงินได้เริ่มขึ้น เฟดได้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ และได้ดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณเสร็จสิ้นไปแล้ว 2 รอบ หรือที่เรียกว่า QE1 และ QE2 ตามลำดับ โดยในขณะนี้ เฟดกำลังดำเนินการซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวและหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) เป็นจำนวน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน หรือที่รู้จักกันในชื่อ QE3 สำนักข่าวซินหัวรายงาน