นางลอเร็ตตา เมสเตอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาคลีฟแลนด์ กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งขึ้น จะทำให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้มากขึ้น
นางเมสเตอร์กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวมากเพียงพอที่จะทำให้เฟดยังคงเดินหน้าไปสู่การปรับนโยบายให้กลับสู่ภาวะปกติ
เขากล่าวว่า "ประเด็นที่สำคัฐก็คือเศรษฐกิจได้แสดงความยืดหยุ่นพอสมควร ซึ่งในมุมมองของดิฉัน แนวโน้มและความเสี่ยงเกี่ยวกับแนวโน้มจะสนับสนุนการทยอยปรับลดการผ่อนคลายนโยบายในปีนี้"
การแสดงความคิดเห็นของนางเมสเตอร์มีขึ้น หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่สูงกว่าคาดในวันนี้
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากเกินคาด โดยอยู่ที่ระดับ 215,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานขยับขึ้น 0.1% แตะระดับ 5.0% หลังจากทรงตัวที่ 4.9% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 8 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2008
อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นในเดือนมี.ค. โดยปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนพ.ค.2015
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 205,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. และอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.9%
ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 195,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 20,000 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือนม.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 168,000 ตำแหน่ง จากที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ว่าเพิ่มขึ้น 172,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.พ. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 245,000 ตำแหน่ง จากที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ว่าเพิ่มขึ้น 242,000 ตำแหน่ง
ขณะเดียวกัน ตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ ได้เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่เมื่อเทียบรายปีเพิ่มขึ้น 2.3% เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.2% ในเดือนก.พ.
ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐอยู่ที่ระดับ 63.0% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2014 จากระดับ 62.9% ในเดือนก.พ.