นักลงทุนและนักวิเคราะห์ทั่วโลกจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในคืนนี้ ซึ่งจะแสดงมุมมองเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินของสหรัฐ
ทั้งนี้ การกล่าวสุนทรพจน์ครั้งสำคัญดังกล่าวจะมีขึ้นที่เมืองฟิลาเดลเฟีย ในการประชุม World Affairs Council of Philadelphia โดยนางเยลเลนจะเริ่มกล่าวสุนทรพจน์เวลา 23.30 น.ตามเวลาไทย ซึ่งจะเป็นการแสดงความเห็นของประธานเฟดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานสหรัฐที่ต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี รวมทั้งเป็นการกล่าวแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดต่อสาธารณชนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 14-15 มิ.ย.
นักลงทุนจับตาคำกล่าวของนางเยลเลนเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในปีนี้ หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปีเมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 38,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2010 ขณะที่อัตราการว่างงานลดลง 0.3% สู่ระดับ 4.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2007 หลังจากอยู่ที่ 5.0% ในเดือนเม.ย.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 162,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. และอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.9%
ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 25,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 13,000 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือนมี.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 186,000 ตำแหน่ง จากที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ว่าเพิ่มขึ้น 208,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือนเม.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 123,000 ตำแหน่ง จากที่มีการรายงานก่อนหน้านี้ว่าเพิ่มขึ้น 160,000 ตำแหน่ง
ขณะเดียวกัน ตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ ได้เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ค.
ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐอยู่ที่ระดับ 62.6% ในเดือนพ.ค. จากระดับ 63.0% ในเดือนเม.ย.
CME Group FedWatch ระบุว่า นักลงทุนได้ลดคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนต่างๆลง หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ดิ่งลงอย่างมากในวันนี้
ทั้งนี้ นักลงทุนลดความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.สู่ระดับ 4% จากเดิมที่ 21%, ส่วนเดือนก.ค.ปรับลดลงสู่ 38% จากระดับ 58%, เดือนก.ย.49% จาก 66%, เดือนพ.ย.52% จาก 68% และเดือนธ.ค.68% จาก 79%