นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุในวันนี้ว่า BoE มีความพร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ เพื่อให้เกิดเสถียรภาพในด้านการเงินและการคลัง หลัง BoE ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% และเพิ่มวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันนี้ เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการที่สหราชอาณาจักรลงประชามติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในวันที่ 23 มิ.ย.
ทั้งนี้ BoE คาดว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะขยายตัวเพียง 0.1% ในไตรมาส 3 แต่ได้ประกาศคงคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ที่ระดับ 2.0% ขณะที่ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวในปี 2017 จากระดับ 2.3% สู่ระดับ 0.8% ซึ่งเป็นการปรับลดตัวเลขคาดการณ์รายไตรมาสมากเป็นประวัติการณ์ โดยระบุถึงความไม่แน่นอนหลังการทำประชามติออกจากสหภาพยุโรป รวมทั้งปรับลดคาดการณ์การขยายตัวในปี 2018 จากระดับ 2.3% สู่ระดับ 1.8%
BoE ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราว่างงานสู่ระดับ 5.4% ในไตรมาส 3 ของปี 2017 จากเดิมที่ระดับ 4.9% ขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะดีดตัวเหนือระดับ 2% ในไตรมาสแรกของปี 2018
BoE มีมติเป็นเอกฉันท์ 9-0 เสียง ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 0.25% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ BoE ในวันนี้ นับเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 7 ปี นับตั้งแต่ที่ BoE ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% จากระดับ 1.00% สู่ระดับ 0.50% ในการประชุมเดือนมี.ค.2009
กรรมการส่วนใหญ่ของ BoE คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยใกล้ 0% ในช่วงปลายปีนี้ หากตัวเลขเศรษฐกิจสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ BoE
ขณะเดียวกัน BoE ได้ประกาศฟื้นโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ในวงเงิน 6 หมื่นล้านปอนด์ โดยจะมีระยะเวลา 6 เดือน ขณะที่ BoE จะเข้าซื้อหุ้นกู้ของภาคเอกชน หลังจากที่ BoE ได้อนุมัติโครงการดังกล่าวในวงเงิน 3.75 แสนล้านปอนด์ในปี 2009 ท่ามกลางวิกฤตการเงินทั่วโลกในขณะนั้น และได้ปิดโครงการลงในปี 2012
การเพิ่มวงเงิน QE อีก 6 หมื่นล้านปอนด์ในวันนี้ จะส่งผลให้วงเงินรวมในโครงการอยู่ที่ระดับ 4.35 แสนล้านปอนด์
BoE สร้างความผิดหวังต่อตลาดในการประชุมรอบที่แล้วในวันที่ 14 ก.ค. ด้วยการประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%