นายเจฟฟรีย์ แลคเกอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาริชมอนด์ กล่าวว่า เหตุผลสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกำลังมีน้ำหนักมากขึ้น โดยเฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมากเพื่อทำให้เงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม
"การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเพื่อป้องกันล่วงหน้ามีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของเงินเฟ้อ" เขากล่าว
ทั้งนี้ เฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในช่วง 0.25-0.50% ในการประชุมเดือนที่แล้ว และกรรมการเฟดส่วนใหญ่ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ก่อนสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ดี นายแลคเกอร์ระบุว่า ประวัติศาสตร์ทางด้านเศรษฐกิจได้บ่งชี้ให้เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยควรอยู่สูงกว่าระดับในปัจจุบันราว 1.50% เมื่อพิจารณาจากระดับของอัตราการว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อในขณะนี้
ท่าทีของนายแลคเกอร์สอดคล้องกับนางโลเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟด สาขาคลีฟแลนด์ ที่กล่าวว่า เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. แม้ว่าการประชุมจะมีขึ้นก่อนการเลือกตั้งสหรัฐวันที่ 8 พ.ย. เพียงไม่กี่วัน พร้อมกับเน้นย้ำว่า การเมืองไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจของเฟด
เมื่อวานนี้ สหรัฐเปิดเผยผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ที่ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM พุ่งขึ้นแตะระดับ 51.5 ในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นจากระดับ 49.4 ในเดือนส.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 50.3 โดยดัชนีอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะขยายตัว หลังจากที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ในเดือนส.ค. ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะหดตัว
การเปิดเผยตัวเลขภาคการผลิตดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง