นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า นโยบายการคลังได้สร้างความไม่แน่นอนให้เกิดขึ้น ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังทำงานร่วมกับสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสเพื่อปรับลดอัตราภาษีครั้งใหญ่สำหรับบุคคลธรรมดา และภาคธุรกิจ รวมทั้งดำเนินการปรับลดกฎระเบียบในภาคอุตสาหกรรม
"เป็นการเร็วเกินไปที่จะรู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายอะไร หรือจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไร" นางเยลเลนกล่าวต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้ ก่อนที่จะกล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในวันพรุ่งนี้
ขณะเดียวกัน นางเยลเลนยังได้เรียกร้องให้สมาชิกสภาคองเกรสให้ความสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว และประสิทธิภาพในการผลิต รวมทั้งการปรับลดหนี้ของสหรัฐที่พุ่งแตะระดับ 19.2 ล้านล้านดอลลาร์ในขณะนี้
"ดิฉันไม่ต้องการที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องภาษี หรือเรื่องการใช้จ่ายของรัฐบาล แต่ดิฉันต้องการชี้ถึงความสำคัญของการผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว และการยกระดับมาตรฐานการดำรงชีวิตของชาวอเมริกัน ด้วยการใช้นโยบายที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต" ประธานเฟดกล่าว
นอกจากนี้ นางเยลเลนยังระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวปานกลาง ขณะที่ตลาดแรงงานแข็งแกร่ง "เศรษฐกิจมีการขยายตัวปานกลาง ท่ามกลางตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และเงินเฟ้อกำลังปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2%"
นางเยลเลนกล่าวว่า ความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจกำลังปรับตัวดีขึ้น แต่ภาคการผลิตได้ถูกกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์
ขณะเดียวกัน ประธานเฟดยังได้ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ "การรอเป็นเวลานานเกินไปเพื่อปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะเป็นการไม่ฉลาด ขณะที่เศรษฐกิจยังคงมีการขยายตัว และเงินเฟ้อดีดตัวขึ้น" นางเยลเลนกล่าว
"การรอนานเกินไปเพื่อยกเลิกนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย จะทำให้เฟดต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น ซึ่งจะเสี่ยงต่อการกระทบตลาดการเงิน และฉุดเศรษฐกิจให้เข้าสู่ภาวะถดถอย" ประธานเฟดกล่าว
"ในการประชุมครั้งต่อๆไป คณะกรรมการเฟดจะประเมินดูว่าการจ้างงานและเงินเฟ้อยังคงปรับตัวสอดคล้องกับการคาดการณ์หรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น การปรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นต่อไปก็จะมีความเหมาะสม"