คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติด้วยคะแนนเสียง 8-1 เสียง เห็นพ้องให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.00-1.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้
แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า เฟดจะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน และผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน ซึ่งเฟดคาดว่าจะแตะระดับดังกล่าวในปี 2018
แถลงการณ์ยังระบุว่า อัตราเงินเฟ้อจะยังคงต่ำกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ในระยะใกล้ แต่จะมีเสถียรภาพใกล้ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% ในระยะกลาง
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ นับเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ของเฟดในปีนี้ และเป็นการปรับขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ในวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มต้นในเดือนธ.ค.2015 และต่อมาในเดือนธ.ค.2016 ก่อนที่จะปรับขึ้นอีกในเดือนมี.ค.ปีนี้ และครั้งล่าสุดในวันนี้
กรรมการเฟดส่วนใหญ่คาดว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้งในปีนี้ โดย 12 จาก 16 ราย คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ขณะที่กรรมการจำนวนเท่ากัน คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า
ขณะเดียวกัน กรรมการเฟดได้ปรับลดอัตราการว่างงานในปีนี้ โดยคาดว่าอัตราว่างงานจะอยู่ที่ระดับ 4.3% ในปลายปีนี้ จากเดิมที่คาดการณ์ในเดือนมี.ค.ที่ระดับ 4.5% และคาดว่าจะอยู่ที่ 4.2% ในปีหน้า จากเดิมที่ 4.5%
กรรมการเฟดยังได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อสู่ระดับ 1.6% ในปีนี้ ลดลงจากระดับ 1.9% ที่คาดการณ์ในเดือนมี.ค.
อย่างไรก็ดี กรรมการเฟดได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้สู่ระดับ 2.2% จากเดิมที่ 2.1% ส่วนปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 2.1% ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ และปี 2019 จะอยู่ที่ 1.9%
นอกจากนี้ เฟดคาดการณ์ว่าจะเริ่มปรับลดงบดุลในปีนี้ หากเศรษฐกิจมีการปรับตัวตามที่เฟดคาดการณ์ ซึ่งการปรับลดงบดุลของเฟด จะส่งผลให้เฟดลดการถือครองพันธบัตร และหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ที่เฟดได้เข้าซื้อในตลาดในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
เฟดระบุว่า ในเบื้องต้นเฟดจะจำกัดเพดานการลดวงเงินการถือครองพันธบัตรรัฐบาลที่ระดับ 6 พันล้านดอลลาร์/เดือน ก่อนที่จะขยายเพดานการลดการถือครองพันธบัตรอีก 6 พันล้านดอลลาร์ในทุกๆ ไตรมาสในช่วงระยะเวลา 12 เดือน จนกระทั่งแตะระดับ 3 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน
สำหรับตราสารหนี้ของหน่วยงานของรัฐ และหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) นั้น ในเบื้องต้นเฟดจะจำกัดเพดานการลดวงเงินการถือครองที่ระดับ 4 พันล้านดอลลาร์/เดือน ก่อนที่จะขยายเพดานการลดการถือครองอีก 4 พันล้านดอลลาร์ในทุกๆ ไตรมาสในช่วงระยะเวลา 12 เดือน จนกระทั่งแตะระดับ 2 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน
เมื่อการลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาล, ตราสารหนี้ของหน่วยงานของรัฐ และ MBS เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ จะส่งผลให้เฟดสามารถลดการถือครองสินทรัพย์ทั้ง 3 ประเภทในอัตรา 5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน ซึ่งเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายคาดหวังว่าการลดการถือครองสินทรัพย์ดังกล่าวจะดำเนินไปจนกระทั่งงบดุลของเฟดลดลงสู่ระดับ 2.0-2.5 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่ระดับ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ เฟดได้ถือครองสินทรัพย์จำนวนมากในช่วงที่ดำเนินการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เป็นจำนวน 3 รอบเพื่อกระตุ้นการลงทุน และการจ้างงานในช่วงที่สหรัฐเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ และภาวะถดถอยในปี 2007-2009