นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะทำการแถลงนโยบายการเงินรอบครึ่งปีต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้เวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 21.00 น.ตามเวลาไทย หลังจากที่ได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อวานนี้
ในการแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อวานนี้ นางเยลเลนระบุว่า เฟดพร้อมที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอยู่ที่ระดับ 1.4% ในปัจจุบัน ซึ่งต่ำกว่าระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด
นางเยลเลนกล่าวว่า เฟดไม่ได้พิจารณาที่จะปรับเปลี่ยนเป้าหมายเงินเฟ้อซึ่งอยู่ที่ระดับ 2%
ขณะเดียวกัน นางเยลเลนกล่าวว่า เฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับลดงบดุลอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปีนี้ ตราบใดที่เศรษฐกิจยังคงมีการปรับตัวตามที่เฟดคาดการณ์
อย่างไรก็ดี นางเยลเลนไม่ได้ระบุแน่ชัดถึงกำหนดเวลาที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปีนี้ หลังจากที่ปรับขึ้นในเดือนมี.ค. และมิ.ย.
ประธานเฟดยังระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่อไปในช่วงหลายปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
"คณะกรรมการเฟดยังคงคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะปรับตัวขึ้นต่อไป ซึ่งจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้บรรลุการจ้างงานเต็มศักยภาพ และราคาที่มีเสถียรภาพ" นางเยลเลนกล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ
นางเยลเลนระบุว่า เฟดยังคงจับตาเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ยังคงคาดว่าเฟดจะเริ่มทำการปรับลดงบดุลวงเงิน 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งการปรับลดงบดุลของเฟด จะส่งผลให้เฟดลดการถือครองพันธบัตร และหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ที่เฟดได้เข้าซื้อในตลาดในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี นางเยลเลนคาดว่างบดุลของเฟดจะยังคงอยู่สูงกว่าระดับในช่วงก่อนเกิดวิกฤตการเงินในปี 2008 ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายระบุก่อนหน้านี้ว่า เฟดมีแนวโน้มคงวงเงินในงบดุลมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์
ถึงแม้นางเยลเลนย้ำว่า อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (federal funds rate) จะยังคงเป็นเครื่องมือนโยบายการเงินหลัก แต่เจ้าหน้าที่เฟดก็ได้เปิดกว้างต่อการใช้เครื่องมืออื่นๆ โดยเฟดจะทำการเพิ่มวงเงินในงบดุลอีกครั้งหนึ่ง หากเศรษฐกิจประสบภาวะตกต่ำ
นางเยลเลนยังได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ โดยแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากการประเมินก่อนหน้านี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีการขยายตัวในระดับปานกลาง ขณะที่ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้น ส่วนผู้บริโภคก็ได้เพิ่มการใช้จ่าย และภาคธุรกิจเพิ่มการลงทุน