ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 12-13 มิ.ย. โดยระบุว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ยังคงเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง และยังคงเชื่อมั่นในแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
อย่างไรก็ตาม กรรมการเฟดได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้า โดยระบุว่า ข้อพิพาททางการค้าที่กำลังทวีความรุนแรงในขณะนี้ อาจส่งผลให้เศรษฐกิจเผชิญกับความไม่แน่นอน และมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลง
รายงานการประชุมยังระบุว่า เฟดได้รับทราบจากบรรดาผู้นำทางธุรกิจว่า ภาคธุรกิจมีความกังวลต่อนโยบายการค้า และบางส่วนได้ส่งสัญญาณว่า อาจจะชะลอแผนการใช้จ่ายด้านทุน หากได้รับผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้า อย่างไรก็ดี แม้กรรมการเฟดมีความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้า แต่ก็ยังยืนยันถึงจุดยืนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาวะตลาดแรงงานให้แข็งแกร่ง และจะช่วยหนุนเงินเฟ้อให้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2% อีกครั้ง
ในการประชุมเมื่อวันที่ 12-13 มิ.ย.นั้น ที่ประชุมเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.75-2.00% พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยคาดว่าจะปรับขึ้นในเดือนก.ย. และธ.ค. นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 2.8% จากเดิมที่ 2.7% และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อในปีนี้ สู่ระดับ 2.10% จากเดิมที่ระดับ 1.9%
ทางด้านนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้แถลงต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมดังกล่าวว่า สงครามการค้าถือเป็นปัจจัยที่สร้างความเสี่ยง พร้อมระบุว่า บริษัทเอกชนบางแห่งได้แจ้งให้เฟดรับทราบว่าพวกเขากำลังชะลอการลงทุนและการจ้างงาน อันเนื่องมาจากนโยบายการค้าของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์