นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแคนซัส ซิตี้ กล่าวว่า คำวิพากษ์วิจารณ์เฟดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของตน
นางจอร์จกล่าวว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปธน.ทรัมป์แสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด
"สภาคองเกรสสหรัฐได้คาดการณ์ล่วงหน้าถึงความขัดแย้งด้านนโยบายระหว่างฝ่ายบริหารและเฟด จึงได้ออกแบบให้เฟดมีความเป็นอิสระในการตัดสินใจ" นางจอร์จกล่าว
ทั้งนี้ นางจอร์จเป็นเจ้าหน้าที่เฟดสายเหยี่ยว ซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยที่ผ่านมา นางจอร์จมักลงคะแนนสวนมติส่วนใหญ่ในที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) โดยนางจอร์จจะโหวตให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่กรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้เฟดคงอัตราดอกเบี้ย โดยนางจอร์จระบุว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เฟดจะต้องเริ่มกระบวนการปรับนโยบายการเงินให้กลับสู่ภาวะปกติ
เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ปธน.ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กรณีที่เฟดมีนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาไม่ปลื้มต่อการที่นายพาวเวลปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเขาจะวิพากษ์วิจารณ์เฟดต่อไป หากเฟดยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 5 ครั้งนับตั้งแต่ที่นายทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนม.ค.ปีที่แล้ว เทียบกับที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในสมัยของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา
นอกจากนี้ เฟดได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และยังส่งสัญญาณปรับขึ้นอีก 2 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ รวมทั้งมีแนวโน้มปรับขึ้นอีก 3 ครั้งในปีหน้า
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกของสหรัฐ และทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ามากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ปธน.ทรัมป์ให้ความสนใจ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเปิดฉากทำสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้าในระยะนี้