ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้เปิดเผยรายงาน "EU Withdrawal Report" เมื่อวานนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจของอังกฤษมีแนวโน้มอ่อนแอลง ไม่ว่าอังกฤษจะถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) แบบไร้ซึ่งข้อตกลง หรือสามารถทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจกับ EU ได้ก็ตาม
รายงานของ BoE ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอังกฤษอาจจะหดตัวลง 7.75%-10.5% ภายในสิ้นปี 2566 เมื่อเทียบกับแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2559 ในกรณีที่อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปแบบแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและไม่ประนีประนอม (Hard Brexit)
รายงานยังระบุด้วยว่า ในกรณีที่อังกฤษสามารถทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจกับ EU ได้นั้น GDP จะหดตัวราว 1.25%-3.75%
ส่วนในกรณีที่อังกฤษถอนตัวออกจาก EU อย่างไม่เป็นระเบียบ (Disorderly Brexit) ซึ่งหมายถึงการไร้ซึ่งข้อตกลงระหว่างอังกฤษและ 27 ชาติสมาชิก EU นั้น เชื่อว่าทั้ง EU และอังกฤษ ต่างก็จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าและการบริการต่อกันและกัน
นอกจากนี้ การออกจาก EU อย่างไม่มีระเบียบ ยังหมายความว่า ภาคการเงินซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีศักยภาพในการทำกำไรของอังกฤษนั้น จะต้องทำธุรกรรมทางการค้ากับ EU ภายใต้กฎระเบียบขององค์การการค้าโลก ซึ่งส่งผลให้อุปสรรคและต้นทุนในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ในรายงานผลการทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ของ BoE ซึ่งมีการเผยแพร่เมื่อวานนี้เช่นกันนั้น ระบุว่า ระบบธนาคารของอังกฤษจะเอาตัวรอดจากผลกระทบของ Brexit ได้ แม้ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดก็ตาม
รายงานดังกล่าวระบุว่า สถาบันการเงินทั้ง 7 แห่งผ่านการทดสอบภาวะวิกฤตได้ทั้งหมด ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ได้เริ่มทำการทดสอบภาวะวิกฤตเมื่อปี 2551 สืบเนื่องมาจากวิกฤติการเงิน