นักลงทุนกำลังคาดหวังมากขึ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่ได้ทรุดตัวลงอย่างหนักจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือในการทำสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้า เช่น จีน และเม็กซิโก
จากการใช้เครื่องมือ FedWatch ของ CME Group วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 64% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% จำนวน 1 ครั้ง หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 2 ครั้ง ก่อนสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นเดือนพ.ค. ก่อนที่จะทรุดตัวลงมากกว่า 6.6% ในขณะนี้ หลังจากที่ปธน.ทรัมป์ประกาศทำสงครามการค้ากับจีน
ทางด้านนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งก่อนถึงเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนมุมมองจากเดิมที่คาดการณ์ว่า มีโอกาส 50-50 ที่การดำเนินการครั้งต่อไปของเฟดอาจเป็นการปรับขึ้น หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ย
"เราเชื่อว่าหากรัฐบาลทรัมป์ปรับขึ้นภาษีต่อสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกตามที่ระบุไว้ ผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะทำให้เฟดผ่อนคลายนโยบายการเงิน และแม้ว่าสหรัฐจะสามารถทำข้อตกลงการค้ากับเม็กซิโกได้ในไม่ช้า แต่ผลกระทบที่มีต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป ซึ่งจะทำให้เฟดต้องดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยอีก ทำให้เราคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 2 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ โดยดำเนินการในเดือนก.ย. และเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากเม็กซิโกในอัตรา 5% ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. โดยปธน.ทรัมป์มีเป้าหมายที่จะกดดันให้รัฐบาลเม็กซิโกสกัดการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายที่ข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐ
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์เตือนว่า สหรัฐจะเพิ่มภาษีนำเข้าขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายจากเม็กซิโกจะได้รับการแก้ไข
การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในเดือนนี้ โดยที่ประชุมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่สหรัฐได้เพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% ส่งผลให้จีนทำการตอบโต้ ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.
นอกจากนี้ สหรัฐได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ทำให้บริษัทไม่สามารถซื้อสินค้าจากสหรัฐ และสหรัฐยังได้เตรียมพิจารณาเพิ่มบัญชีรายชื่อบริษัทจีนที่จะถูกขึ้นบัญชีดำ โดยปธน.ทรัมป์กำลังพิจารณาที่จะขึ้นบัญชีดำบริษัทจำหน่ายกล้องวงจรปิดรายใหญ่ 5 รายของจีน ซึ่งรวมถึงบริษัท Hikvision Digital Technology และ บริษัท Dahua Technology ด้วยข้อหากระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนแถลงในวันนี้ว่า ทางกระทรวงจะจัดทำรายชื่อบริษัทต่างชาติ, องค์กร และบุคคล ซึ่งทางกระทรวงมองว่าไม่น่าเชื่อถือ และเป็นภัยต่อบริษัทของจีน
อย่างไรก็ดี ทางกระทรวงไม่ได้ระบุชื่อประเทศ หรือบริษัทใดๆในแถลงการณ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ นายเกา เฟิง โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า รายชื่อดังกล่าว จะประกอบด้วยบริษัท, องค์กร หรือผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของตลาด และเจตจำนงของสัญญา โดยปฏิเสธการส่งสินค้าไปยังบริษัทจีนอันเนื่องจากเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับเชิงพาณิชย์ และบ่อนทำลายสิทธิและผลประโยชน์โดยชอบตามกฎหมายของบริษัทจีน