ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานฉบับใหม่ระบุว่า ธนาคารพาณิชย์ในเขตต่างๆมากกว่าครึ่งของสหรัฐได้ปิดสาขาลงในระหว่างปี 2555-2560 โดยเขตที่มีผู้มีการศึกษาน้อยและมีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่นั้น ได้รับผลกระทบมากที่สุด
รายงานดังกล่าวของเฟดซึ่งมีการเผยแพร่เมื่อวานนี้ระบุว่า เขตในพื้นที่ชนบทเกือบ 800 แห่งมีการปิดธนาคารสาขา 1,533 แห่ง ซึ่งคิดเป็น 14% ของสาขาธนาคารทั้งหมด ขณะที่เขตในพื้นที่เมืองมีการปิดธนาคารสาขาเพียง 9% โดยรายงานดังกล่าวได้แสดงถึงแนวโน้มช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างพื้นที่ชนบทและพื้นที่ในเขตเมืองที่มีความเจริญและการให้บริการที่ดีกว่า
ขณะที่ชาวอเมริกันในเขตเมืองและชนบทใช้บริการสาขาของธนาคารน้อยลง เนื่องจากมีการให้บริการธนาคารออนไลน์มากขึ้นนั้น สาขาธนาคารแบบดั้งเดิมก็ยังคงให้บริการที่สำคัญกับประชาชนในการเปิดบัญชี และการกู้ยืมเงิน ดังนั้น การปิดสาขาธนาคารจึงขัดขวางการเข้าถึงสินเชื่อสำหรับภาคครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็ก
เฟดระบุว่า เขต 44 แห่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการปิดสาขาธนาคาร โดยใน 1 เขตที่มีสาขาธนาคาร 10 แห่งหรือน้อยกว่า 10 แห่งในปี 2555 และได้ปิดสาขาของธนาคารเหล่านั้นอย่างน้อย 50% ของสาขาทั้งหมดในปี 2560
รายงานเฟดระบุว่า เขตในพื้นที่ชนบทที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการปิดสาขาธนาคารนั้น มีอัตราความยากจนสูงขึ้น, มีรายได้เฉลี่ยลดลง, มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นสำหรับประชากรที่มีการศึกษาต่ำกว่าระดับมัธยม และมีประชากรที่เป็นชาวแอฟริกัน อเมริกันในสัดส่วนที่สูงขึ้น
รายงานระบุว่า ในการรับฟังความเห็นประชาชนที่เฟดจัดขึ้นในเขตนั้น ประชาชนระบุว่าการปิดสาขาธนาคารส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขา โดยธนาคารในท้องถิ่นสามารถเป็นเสาหลักในการช่วยเหลือชุมชน และการปิดธนาคารสาขาได้ส่งผลกระทบอย่างมาก
เฟดระบุว่า ธนาคารต่างๆได้ปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของชุมชนที่มีสำนักงานใหญ่ของธนาคารตั้งอยู่ ดังนั้นการปิดธนาคารสาขาอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อตลาดท้องถิ่น