นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมเฟดเมื่อวานนี้ว่า นโยบายการคลังถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในเวลานี้ ในขณะที่ชาวอเมริกันหลายล้านคนมีแนวโน้มที่จะไม่ได้รับสวัสดิการว่างงานตามมาตรการเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ภายในสิ้นปีนี้
นายพาวเวลกล่าวว่า เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือคนว่างงานใกล้จะหมดอายุลง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจจะได้รับความช่วยเหลือจากนโยบายการคลังของรัฐบาล
ถ้อยแถลงของนายพาวเวลมีขึ้นในช่วงเวลาที่สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐกำลังเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งการออกกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาล (ชัตดาวน์) อันเนื่องจากการขาดแคลนงบประมาณ
หากสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ก็จะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลเผชิญภาวะชัตดาวน์ในวันที่ 19 ธ.ค. และชาวอเมริกันที่ตกงานจะไม่ได้รับเงินชดเชยจากสวัสดิการว่างงานในวันที่ 26 ธ.ค.
นายพาวเวลกล่าวว่า การสนับสนุนด้านการคลังจะช่วยให้สหรัฐสามารถรอดพ้นวิกฤตได้ในช่วง 4-6 สัปดาห์ข้างหน้า ขณะเดียวกันเขาก็คาดหวังว่าประชาชนจำนวนมากจะได้รับการฉีดวัคซีนภายในสิ้นไตรมาส 2 ของปี 2564
"เห็นได้ชัดว่า เราจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากนโยบายการคลัง และผมมีความหวังว่า สภาคองเกรสจะบรรลุข้อตกลงกันได้ในที่สุด"
สำหรับผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวานนี้ ที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% พร้อมระบุว่า เฟดจะยังคงใช้เครื่องมือทุกอย่างในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพื่อให้มีการจ้างงานเต็มศักยภาพ และเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเหนือระดับเป้าหมาย 2%
นอกจากนี้ เฟดให้คำมั่นว่า จะยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงินรวม 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 8 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดจะดำเนินการไปจนกระทั่งบรรลุเป้าหมายในการจ้างงานเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพของราคา