นางลอเร็ตตา เมสเตอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาคลีฟแลนด์ได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมซึ่งจัดโดย Boston Economic Club ว่า เฟดต้องการเห็นตลาดแรงงานของสหรัฐฟื้นตัวมากกว่านี้ ก่อนที่จะตัดสินใจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อสินทรัพย์
"ตัวเลขการจ้างงานบ่งชี้ว่า ภาวะตลาดแรงงานของสหรัฐกำลังปรับตัวไปในทิศทางที่ถูกต้องและมีความคึบหน้าเป็นอย่างมากนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว แต่ดิฉันต้องการเห็นตลาดแรงงานฟื้นตัวขึ้นมากกว่านี้ ก่อนที่จะพิจารณาถึงสัญญาณชี้นำทิศทางนโยบายการเงิน (Forward Guidance) เกี่ยวกับโครงการซื้อสินทรัพย์" นางเมสเตอร์กล่าว พร้อมระบุว่า ตัวเลขจ้างงานของสหรัฐยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับของเดือนก.พ.อยู่ประมาณ 8.5 ล้านตำแหน่ง และอัตราว่างงานก็ยังสูงกว่าในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดอยู่ราว 2.5%
ทั้งนี้ นางเมสเตอร์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ "ระยะการฟื้นตัวหลังการฉีดวัคซีน" ในไตรมาส 3 ปีนี้ ขณะเดียวกันคาดว่าความพยายามในการเพิ่มการแจกจ่ายวัคซีนจะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกหลายเดือนข้างหน้า
"ในระยะการฟื้นตัวหลังการฉีดวัคซีนนั้น การฟื้นตัวจะขยายเป็นวงกว้างในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่กิจกรรมในภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสทางกายจะฟื้นตัวขึ้นด้วย" นางเมสเตอร์กล่าว พร้อมระบุว่า การดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไปอีกระยะหนึ่งนั้น ถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวเป็นวงกว้าง
การแสดงความเห็นของนางเมสเตอร์สอดคล้องกับที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดได้แถลงต่อสื่อมวลชนภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า "ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่คณะกรรมการเฟดจะหารือกันเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)"
"เราได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า เราจะแจ้งให้สาธารณชนได้รับรู้ว่าเราจะหารือกันในเรื่องดังกล่าวเมื่อใด เราจะส่งสัญญาณให้รู้ล่วงหน้าหากเราจะตัดสินใจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตร ขณะเดียวกัน เราจะจับตาความคืบหน้าเกี่ยวกับเป้าหมายต่างๆ ของเรา โดยเราคาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งก่อนที่เราจะเห็นเป้าหมายดังกล่าวบรรลุผลอย่างยั่งยืน" นายพาวเวลกล่าว