นายแพทริก ฮาร์เกอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย กล่าวว่า เขาคาดว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566
"ผมต้องการที่จะเห็นกระบวนการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) สิ้นสุดลง ก่อนที่เราจะคิดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดังนั้น เราจึงอาจยังไม่เห็นเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566" นายฮาร์เกอร์กล่าว
นอกจากนี้ นายฮาร์เกอร์ยังกล่าวย้ำมุมมองของเขาว่า เฟดควรเริ่มกระบวนการปรับลด QE โดยเร็ว ดีกว่าที่จะล่าช้าออกไป
นายฮาร์เกอร์กล่าวในวันนี้ หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะเริ่มปรับลดวงเงิน QE ก่อนสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ดี นายพาวเวลระบุว่า การที่เฟดปรับลด QE ไม่ได้หมายความว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า
"เฟดมองว่ามีความเหมาะสมที่จะเริ่มการปรับลด QE ในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจมีความคืบหน้ามากขึ้นจากการรายงานตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่งในเดือนก.ค. และเฟดจะทำการประเมินข้อมูลที่ได้รับอย่างระมัดระวัง รวมทั้งความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา" นายพาวเวลกล่าวในการประชุมประจำปีของเฟดผ่านทางระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้มาถึงจุดที่ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากนโยบายเฟดอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่าเฟดมีแนวโน้มปรับลดวงเงิน QE ก่อนสิ้นปีนี้ ตราบใดที่เศรษฐกิจยังคงมีการขยายตัว
"กำหนดเวลาและอัตราการปรับลด QE ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณโดยตรงถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเราจะมีบททดสอบที่เข้มงวดมากขึ้น และแตกต่างออกไป" นายพาวเวลกล่าว
ก่อนหน้านี้ นายพาวเวลเคยส่งสัญญาณว่า หากเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็จะเกิดขึ้นหลังสิ้นสุดการปรับลด QE เป็นระยะเวลาพอสมควร
นายพาวเวลกล่าวว่า แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อกำลังปรับตัวใกล้เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% แต่เฟดยังต้องดำเนินการอีกมากเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการจ้างงานเต็มศักยภาพ ซึ่งเป็นเงื่อนไข 2 ประการก่อนที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ นายพาวเวลยังระบุว่า การพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในขณะนี้เกิดจากปัจจัยเพียงชั่วคราว และปัจจัยดังกล่าวกำลังเริ่มที่จะเบาบางลง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเข้าสู่เป้าหมายของเฟดในที่สุด
ขณะเดียวกัน นายพาวเวลตั้งข้อสังเกตว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาถือเป็นความเสี่ยงในระยะใกล้ต่อการจ้างงานเต็มศักยภาพ แต่เขายืนยันว่าขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีในความคืบหน้าไปสู่เป้าหมายดังกล่าว