ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานเสถียรภาพด้านการเงินล่าสุด โดยเตือนว่า วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนอาจลุกลามจนสร้างปัญหาให้กับระบบการเงินของสหรัฐ
"ความตึงเครียดในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนอาจส่งผลให้ระบบการเงินของจีนเข้าสู่ภาวะชะงักงัน และมีความเป็นไปได้ว่าจะลุกลามมาถึงสหรัฐ" รายงานของเฟดระบุ และเพิ่มเติมว่า ขนาดของเศรษฐกิจและระบบการเงินของจีน และการค้าโลกนั้น มีความเชื่อมโยงกัน
นอกจากนี้ รายงานของเฟดยังได้มีการวิเคราะห์บทบาทของนักลงทุนรายย่อยและสื่อโซเชียลมีเดียซึ่งสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นเมื่อต้นปีนี้ รวมทั้งบทบาทของนักลงทุนต่างชาติที่เทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในเดือนมี.ค.ปีที่แล้ว
รายงานเสถียรภาพด้านการเงินของเฟดยังได้ระบุถึงจีนว่า หนี้สินของจีนที่ระดับสูง และราคาอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่พุ่งขึ้นนั้น ถือเป็นความเสี่ยงที่อาจลุกลามไปยังสหรัฐ
ทั้งนี้ วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนได้ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากทั่วโลก นับตั้งแต่ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับสองของจีนผิดนัดชำระหนี้ และเมื่อไม่นานมานี้ ตลาดหุ้นฮ่องกงประกาศระงับการซื้อขายหุ้นของบริษัทไคซา กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Kaisa Group Holdings) และบริษัทในเครืออีก 3 แห่ง หลังจากที่ไคซา กรุ๊ปแจ้งว่า บริษัทในเครือแห่งหนึ่งผิดนัดชำระดอกเบี้ยผลิตภัณฑ์บริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management Product)
ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนเผชิญกับวิกฤตสภาพคล่อง หลังจากที่รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการควบคุมภาวะร้อนแรงในภาคธุรกิจ รวมทั้งสกัดการก่อหนี้ของบริษัทขนาดใหญ่ในภาคดังกล่าว โดยภาคอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นเสาหลักสำคัญกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน โดยมีสัดส่วนผลผลิตทางเศรษฐกิจสูงเกือบ 30% ซึ่งการล้มละลายของเอเวอร์แกรนด์จะส่งผลกระทบลุกลามไปยังบริษัทอื่นๆ ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และสร้างความเสี่ยงต่อระบบธนาคารของจีน