ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนต.ค.ในวันนี้ระบุว่า กรรมการบางคนของ BOJ กล่าวว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงอ่อนแอ แม้ต้นทุนการผลิตสินค้าปรับตัวสูงขึ้นและเงินเยนอ่อนค่าลง พร้อมกับกล่าวว่า BOJ ควรดำเนินนโยบายผ่อนคลายการเงินต่อไปเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นยังคงอยู่ห่างไกลจากเป้าหมายของ BOJ ที่ระดับ 2%
ในการประชุมเมื่อวันที่ 27-28 ต.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำหนดนโยบายของ BOJ ระบุว่า ปัญหาติดขัดด้านอุปทานและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาในช่วงฤดูร้อนปีนี้ จะส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นต้องล่าช้าออกไป นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของราคาพลังงานและวัตถุดิบยังส่งผลกระทบต่อญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้า ขณะที่การอ่อนค่าของเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ยังส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้นด้วย
"กรรมการรายหนึ่งของ BOJ กล่าวว่า การปรับนโยบายการเงินสู่ระดับปกติควรจะเกิดขึ้นเมื่อญี่ปุ่นบรรลุเป้าหมายการสร้างเสถียรภาพด้านราคาที่ระดับ 2% ได้อย่างมีเสถียรภาพ และเมื่อพิจารณาจากการที่เรายังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ก็ยังไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องปรับนโยบายการเงินในขณะนี้" รายงานการประชุมระบุ
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ในการประชุมวันดังกล่าว คณะกรรมการ BOJ มีมติคงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ -0.1% และคงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ไว้ที่ระดับราว 0% เพื่อรักษาต้นทุนการกู้ยืมไว้ที่ระดับต่ำสำหรับบริษัทต่าง ๆ และภาคครัวเรือน
แถลงการณ์ภายหลังการประชุมดังกล่าวยังระบุว่า BOJ ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสำหรับปีงบการเงินที่สิ้นสุดในเดือนมี.ค. โดยคาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัว 3.4% ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.8% ส่วนราคาผู้บริโภคพื้นฐานที่ไม่รวมอาหารสดที่มีความผันผวนนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 0.0% ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่า อาจเพิ่มขึ้น 0.6%