มอร์แกน สแตนลีย์ เรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากขณะนี้สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนกำลังส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น
นายเจมส์ กอร์แมน ประธานและซีอีโอของมอร์แกน สแตนลีย์กล่าวในการประชุมซึ่งจัดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์ออสเตรเลียน ไฟแนนเชียล รีวิว (AFR) ในวันนี้ว่า เฟดไม่ควรดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวในช่วงที่สถานการณ์ยังคงไม่แน่นอน
"เฟดกำลังเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในทิศทางขาขึ้นและคาดว่าจะยืดเยื้อต่อไป" นายกอร์แมนกล่าว พร้อมกับคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามแผนและจะไม่สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 16 มี.ค.นี้ ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมวันดังกล่าว
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ภาคเอกชนของสหรัฐยังคงเดินหน้าตอบโต้รัสเซียที่ใช้กำลังทหารรุกรานยูเครน ซึ่งรวมถึงบริษัทที่ปรึกษาและตรวจสอบบัญชีชั้นนำระดับบิ๊กโฟร์อย่างดีลอยท์, เอิร์นส์ แอนด์ ยัง, เคพีเอ็มจี และไพรซ์วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC)
นอกจากนี้ บริษัทฟิทช์ กรุ๊ป ยังดำเนินการตามรอยบริษัทมูดี้ส์ คอร์ป ด้วยการประกาศระงับการดำเนินธุรกิจในรัสเซีย โดยทั้งสองบริษัทได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัสเซียด้วย
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัสเซียลง 6 ขั้นจาก BBB สู่ B ซึ่งเป็นอันดับ "ขยะ" โดยระบุว่า การที่ชาติตะวันตกได้พากันคว่ำบาตรรัสเซียเพื่อตอบโต้กรณีใช้กำลังทหารรุกรานยูเครนนั้น ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจของรัสเซียตกอยู่ในความไม่แน่นอน และอาจทำให้พันธบัตรหรือตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลรัสเซียขาดความน่าเชื่อถือ
ขณะที่มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัสเซียลงสู่ระดับ Ca ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดอันดับที่สอง โดยระบุว่า การที่ธนาคารกลางรัสเซียใช้มาตรการควบคุมเงินทุนนั้น อาจจะส่งผลให้รัสเซียเผชิญกับข้อจำกัดในการชำระหนี้ต่างประเทศ และอาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ในที่สุด