นายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยกล่าวว่า เฟดไม่ควรเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยรวดเร็วเกินไป เพราะจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
นายบอสติกกล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีเมื่อวานนี้ (19 เม.ย.) ว่า "กรรมการเฟดควรประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ และพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ผมคิดว่ามุมมองของผมเป็นไปในทิศทางเดียวกับกรรมการเฟดท่านอื่น ๆ และเชื่อว่า เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เราควรจะปรับอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับที่เป็นกลาง และดำเนินการในแนวทางทางนั้นอย่างรอบคอบระมัดระวัง"
"อัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง หมายถึงภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ไม่มีผลกระทบทั้งในด้านลบและด้านบวกต่อเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้ตามปัจจัยพื้นฐาน โดยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลางควรจะอยู่ในช่วง 2% - 2.5% หรือต่ำสุดไม่เกิน 1.75%"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามนายบอสติกว่า เขาเห็นด้วยหรือไม่กับการที่นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์กล่าวว่า เฟดอาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 0.75% จนแตะระดับ 3.5% ภายในสิ้นปีนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยนายบอสติกกล่าวว่า "อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แม้ว่านั่นจะไม่ใช่มุมมองของผมในเวลานี้ก็ตาม"
ทางด้านนายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโกกล่าวในการประชุมที่สมาคมเศรษฐกิจในรัฐนิวยอร์กเมื่อวานนี้ว่า เฟดควรปรับเพิ่มกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.25% - 2.50% ภายในปีนี้ และจากนั้นจึงพิจารณาถึงผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจ แต่หากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ก็มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก
ทั้งนี้ กรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยตามความเห็นของนายอีแวนส์ยังต่ำกว่ากรอบที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.50% - 2.75%
นอกจากนี้ นายอีแวนส์ระบุว่า เฟดยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.50% ในเวลานี้
การแสดงความเห็นของนายอีแวนส์และนายบอสติกเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 500 จุดในวันอังคาร (19 เม.ย.) ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดครั้งต่อไปในวันที่ 3-4 พ.ค.นี้ โดยตลาดการเงินคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมดังกล่าว ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% นับตั้งแต่ปี 2543