นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเท่าที่จำเป็น เพื่อควบคุมเงินเฟ้อไม่ให้พุ่งขึ้นรุนแรงจนสร้างความเสียหายต่อรากฐานของเศรษฐกิจ
"สิ่งที่เราต้องการเห็นคืออัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน และเราจะดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงินไปจนกว่าจะเห็นสิ่งนั้น หากเราไม่เห็นว่าเงินเฟ้อชะลอตัวลงตามที่คาดหวังไว้ เราก็จะใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินที่แข็งกร้าวมากขึ้นอีก" นายพาวเวลกล่าวสุนทรพจน์ในงานสัมมนา Future of Everything Festival ซึ่งจัดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลในวันอังคารตามเวลาสหรัฐ (17 พ.ค.)
นายพาวเวลยังกล่าวด้วยว่า "การบรรลุเป้าหมายเพื่อสร้างเสถียรภาพด้านเงินเฟ้อนั้น ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก และเป็นภารกิจที่เฟดจะต้องดำเนินการเนื่องจากเศรษฐกิจ ประชาชน และภาคธุรกิจ ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ หากเงินเฟ้อไร้เสถียรภาพ
ทั้งนี้ แม้ว่าการใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในแง่ของการกดดันให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง และอัตราว่างงานพุ่งสูงขึ้น แต่นายพาวเวลเชื่อมั่นว่า เฟดมีแนวทางที่จะดำเนินการดังกล่าวโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง
"อย่างไรก็ดี หากอัตราเงินเฟ้อไม่ชะลอตัวลง เฟดก็ไม่ลังเลที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกจนกว่าจะเห็นว่าเงินเฟ้ออยู่ในทิศทางที่ชะลอตัวลง" นายพาวเวลกล่าว
นอกจากนี้ นายพาวเวลกล่าวว่า "เศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง ขณะที่งบดุลบัญชีของผู้บริโภคและการดำเนินงานของภาคธุรกิจก็มีความแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจัยบวกเช่นนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจชะลอลงในระดับที่เพียงพอจะฉุดเงินเฟ้อให้ลดลงโดยไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจหดตัวลงรุนแรงเกินไป ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่เฟดเคยนำมาใช้ในอดีตเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ"
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนัก 100% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.50% ในการประชุมนโยบายการเงินอีก 2 ครั้ง ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค. หลังจากที่เฟดเพิ่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในช่วงต้นเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 20 ปี