นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโกระบุในวันพฤหัสบดี (6 ต.ค.) ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.50% - 4.75% ภายในฤดูใบไม้ผลิปี 2566 เนื่องจากเฟดเดินหน้าปรับขึ้นต้นทุนการกู้ยืมเงินแบบต่อเนื่อง เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เคลื่อนไหวในระดับสูงจนเกินไป
"เราต้องเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยขณะนี้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง เราจึงจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดมากขึ้น" นายอีแวนส์กล่าว
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เงินเฟ้อของสหรัฐพุ่งสูงเหนือเป้าหมาย 2% ของเฟดถึงกว่า 3 ตัวเท่า โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์อันแข็งแกร่งจากภาคครัวเรือนหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งปัญหาอุปทานติดขัดจากเครือข่ายกระจายสินค้าและวัตถุดิบทั่วโลก และแรงกดดันเงินด้านราคาอื่น ๆ เช่น พลังงานและอาหารจากผลพวงของกรณีที่รัสเซียรุกรานยูเครน
ขณะนี้ นายอีแวนส์และเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายรายอื่น ๆ ต่างยอมรับว่าพวกเขาตระหนักถึงความรุนแรงของเงินเฟ้อได้ช้า ดังนั้นจึงชดเชยด้วยการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 3.00% - 3.25% จากระดับเกือบ 0% ในเวลาเพียง 7 เดือน
ทั้งนี้ นายอีแวนส์ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงจะเริ่มชะลอตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและผลักดันให้อัตราว่างงานเพิ่มสูงขึ้น โดยขณะนี้อัตราว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่ 3.7%
นายอีแวนส์กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์ห่วงโซ่อุปทานเริ่มกระเตื้องขึ้น ราคาที่พักอาศัยสูงขึ้นต่อเนื่อง และราคารถยนต์ยังคงแข็งแกร่งแบบเหนือความคาดหมาย
"เราต้องพิจารณาแรงผลักดันในองค์ประกอบหลักของอัตราเงินเฟ้อ โดยเป็นปัจจัยที่ทำให้ผมและเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่วิตกกังวล"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ติตด่อกันเป็นครั้งที่ 4 ในการประชุมเดือนพ.ย. หรือจะปรับขึ้นเพียง 0.50% นายอีแวนส์ระบุว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบาย "จะทำการหารือกันเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง"
อย่างไรก็ตาม นายอีแวนส์กล่าวเสริมว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายคาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1.25% ตลอดช่วงการประชุม 2 ครั้งถัดไป โดยอิงตามการประมาณการเฉลี่ยที่เผยแพร่ในเดือนก.ย. และตัวเลขเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง