นางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาคลีฟแลนด์ระบุในวันอังคาร (11 ต.ค.) ว่า แม้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งใหญ่ในปีนี้ แต่เฟดยังไม่สามารถควบคุมเงินเฟ้อที่พุ่งทะยานขึ้นได้ และจำเป็นต้องเดินหน้าคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป
"เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงแบบหยั่งรากลึกยังคงเป็นปัญหาสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แม้อุปสงค์ด้านเศรษฐกิจลดน้อยลงบ้างแล้วและสถานการณ์ด้านอุปทานเริ่มส่งสัญญาณกระเตื้องขึ้น แต่การแก้ปัญหาเงินเฟ้อนั้นยังไม่คืบหน้า" นางเมสเตอร์กล่าว
ทั้งนี้ นางเมสเตอร์เป็นสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟดที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแบบต่อเนื่องในปีนี้ โดยในการประชุมเดือนก.ย. เฟดได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยสู่กรอบ 3.00% -3.25% และส่งสัญญาณปรับขึ้นต่อไปจนถึงปีหน้า โดยพิจารณาปรับขึ้นสู่ระดับ 4.60%
นางเมสเตอร์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่ามุมมองโดยรวมของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
"เฟดกำลังใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด และจำเป็นต้องเป็นเช่นนี้ไปสักพัก เพื่อฉุดเงินเฟ้อลงสู่เป้าหมาย 2% ดิฉันไม่คิดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า"
นางเมสเตอร์ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับขนาดของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินครั้งถัดไป พร้อมอธิบายว่า "ขนาดของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมทุกครั้งและอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุดนั้นจะขึ้นอยู่กับแนวโน้มเงินเฟ้อ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมาณการว่าอุปสงค์และอุปทานจะกลับมามีความสมดุลมากขึ้นรวดเร็วเพียงใด และแรงกดดันราคาลดน้อยลง"
นอกจากนี้ นางเมสเตอร์ระบุว่า เงินเฟ้อควรลดลงสู่ระดับ 3.5% ภายในปีหน้า และกลับสู่เป้าหมาย 2% ของเฟดในปี 2568 โดยดัชนีราคาที่คำนวณจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งเป็นมาตรวัดแรงกดดันที่เฟดจับตานั้น อยู่ที่ 6.2% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า