ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนต.ค.ในวันนี้ โดยระบุว่า คณะกรรมการบริหารของ RBA มีการถกเถียงกันเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ต.ค. หลังจากที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราส่วนดังกล่าวเป็นเวลา 4 เดือนติดต่อกัน แต่ในท้ายที่สุดคณะกรรมการ RBA ได้ตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% สู่ระดับ 2.60%
"คณะกรรมการ RBA ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วทั้งสิ้น 2.50% นับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีนี้ และส่วนใหญ่ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการจ่ายเงินกู้จำนอง นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงินได้ส่งผลกระทบต่อราคาบ้านและความมั่งคั่งของภาคครัวเรือน และอาจส่งผลให้การอุปโภคบริโภคชะลอตัวลงเมื่อเวลาผ่านไป"
"ขณะที่ตลาดแรงงานมีความตึงตัวอย่างมาก แต่ค่าแรงในออสเตรเลียไม่ได้พุ่งขึ้นรุนแรงเหมือนกับบางประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้ว และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้อีกก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อ"
"ธนาคารกลางจำนวนมากทั่วโลกได้พากันปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะทำให้ผลผลิตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญและทำให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อชะลอตัวลง แต่ RBA ได้มีการอภิปรายกันว่าควรจะชะลอการคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึงขณะนี้ รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ" RBA ระบุในรายงานการประชุม
"แต่ถึงกระนั้นก็ตาม คณะกรรมการ RBA ย้ำว่า อัตราเงินเฟ้อในออสเตรเลียที่ระดับ 6.1% นั้นเป็นระดับที่สูงเกินไป และมีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นแตะระดับ 7.75% ภายในสิ้นปีนี้ เนื่องจากค่าเช่าและค่าบริการสาธารณูปโภคจะเพิ่มแรงกดดันต่อต้นทุน
ทั้งนี้ คณะกรรมการ RBA จึงมีมติที่จะฉุดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2-3% และตระหนักว่าเป้าหมายดังกล่าวจะช่วยให้การคาดการณ์เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้" รายงานการประชุมระบุ