นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยในวันนี้ (18 พ.ย.) ว่า ECB จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และอาจถึงขั้นต้องจำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยชี้ว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนั้นถือเป็นเครื่องมือสำคัญของ ECB เหนือการลดบัญชีงบดุล
ทั้งนี้ สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ECB ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมกันทั้งหมดมากถึง 2% นับตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ พร้อมระบุว่าจะมีการคุมเข้มนโยบายการเงินเพิ่มเติมผ่านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต และลดการถือพันธบัตรรัฐบาลจากที่ปัจจุบันถือเอาไว้ 5 ล้านล้านยูโร (5.2 ล้านล้านดอลลาร์)
"เราคาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก โดยอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นเครื่องมือหลักสำหรับการปรับจุดยืนด้านนโยบายของเรา" นางลาการ์ดกล่าว
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า อัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.5% นั้นไม่ห่างไกลจากสิ่งที่เรียกว่า "อัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลาง" (Neutral Rate) ซึ่งไม่กระตุ้น หรือฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่แล้วประมาณการกันว่า อัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลางนั้นจะอยู่ที่ระหว่าง 1.5% - 2% ซึ่งบ่งชี้ว่า หลังปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ECB ก็จะเลิกการปรับขึ้นดอกเบี้ย
ปัญหาคือเงินเฟ้อเคลื่อนไหวแตะ 10.6% ซึ่งสูงเหนือเป้าหมาย 2% ของ ECB อย่างมาก ทำให้แม้ว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้น ก็ไม่น่าจะผ่อนคลายแรงกดดันเงินเฟ้อได้มากพอ จน ECB หยุดปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยขณะนี้คาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะถดถอยในช่วงฤดูหนาวนี้
ขณะนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่า ECB มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% - 0.75% ในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันสองครั้ง และเตรียมลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลตั้งแต่ครึ่งแรกของปี 2566