นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์กล่าวในวันพฤหัสบดี (12 ม.ค.) ว่า ภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐมีแนวโน้มที่จะลดต่ำลงในปีนี้ แต่เส้นทางที่เฟดจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% นั้น อาจจะไม่ราบรื่น และจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น
การแสดงความเห็นของนายบูลลาร์ดมีขึ้น หลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 6.5% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2564 ส่วนเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI ทั่วไปปรับตัวลง 0.1% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง
"เป็นเรื่องน่ายินดีที่ดัชนี CPI ชะลอตัวลง ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดกำลังมาถูกทางแล้ว และขณะนี้ผมมองว่า ในปี 2566 จะเป็นปีที่เงินเฟ้อลดต่ำลง" นายบูลลาร์ดกล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดโดยสมาคมนายธนาคารแห่งรัฐวิสคอนซิน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนี CPI ประจำเดือนธ.ค. นักลงทุนส่วนใหญ่ต่างก็คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมเดือนก.พ. และคาดว่าเฟดจะหยุดการปรับขึ้นก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับ 5%
อย่างไรก็ดี นายบูลลาร์ดยังคงแสดงจุดยืนที่จะสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงระดับ 5% โดยเร็ว พร้อมกับปฏิเสธมุมมองที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หากเงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง
"ตลาดการเงินมีมุมมองเชิงบวกมากเกินไปว่า เงินเฟ้อจะกลับสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ได้ไม่ยาก แต่นั่นไม่สอดคล้องกับประวัติของเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา และผมมองว่าการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย" นายบูลลาร์ดกล่าว