ธนาคารกลางชั้นนำ 3 แห่งของโลกจะจัดการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของปีนี้
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมในวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะจัดการประชุมตรงกันในวันที่ 2 ก.พ.
เฟดจะประกาศผลการประชุมในช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 2 ก.พ.ตามเวลาไทย ส่วน ECB และ BoE จะประกาศผลการประชุมในคืนวันเดียวกัน
นักวิเคราะห์และตลาดการเงินต่างคาดการณ์ว่า ECB และ BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งนี้ ขณะที่เฟดจะปรับขึ้นเพียง 0.25%
*เฟด*
นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟด รวมทั้งถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะส่งสัญญาณทิศทางนโยบายการเงินของเฟดในปีนี้
ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีกเพียง 2 ครั้ง ในการประชุมรอบนี้ และในเดือนมี.ค. รวมทั้งจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.0% ในปีนี้ ต่ำกว่าที่เฟดส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่าจะปรับขึ้นสู่ระดับ 5.1% หรือเทียบเท่ากับช่วงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย 5.00-5.25%
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50%-4.75% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. และจะปรับขึ้นอีก 0.25% สู่ระดับ 4.75%-5.00% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. ก่อนที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าว
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 28-29 ก.ย. ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยก่อนหน้านี้เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในปี 2567
ทั้งนี้ เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีที่แล้วเพื่อสกัดเงินเฟ้อ หลังจากที่รัสเซียประกาศบุกโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ.2565 ทำให้สหรัฐและชาติตะวันตกออกมาตรการคว่ำบาตร ส่งผลให้ทั่วโลกเกิดการขาดแคลนพลังงานและอาหารอย่างหนัก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้น
เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 7 ครั้งในปีที่แล้ว โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้ง, 0.50% จำนวน 2 ครั้ง และ 0.75% จำนวน 4 ครั้ง ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4.25%
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนธ.ค.2565 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี
ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 และจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 โดยเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.1% ในปี 2566 ก่อนที่จะสิ้นสุดวัฏจักรปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยระดับดังกล่าวเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2550
หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 5.1% ในปี 2566 หรือเทียบเท่ากับช่วงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย 5.00-5.25% เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อจับตาดูผลกระทบของการคุมเข้มนโยบายการเงินที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
นอกจากนี้ เฟดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจำนวน 1.0% ในปี 2567 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลงสู่ระดับ 4.1% ในช่วงสิ้นปีดังกล่าว และเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1.0% ในปี 2568 สู่ระดับ 3.1% ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะปรับตัวสู่ระดับ 2.5%
*ECB*
นักวิเคราะห์คาดว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมรอบนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน
ก่อนหน้านี้ ECB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนก.ค.2565 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2543 ก่อนที่จะปรับขึ้น 0.75% ทั้งในเดือนก.ย.และต.ค. และล่าสุดปรับขึ้น 0.50% ในเดือนธ.ค.
นางคริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB กล่าวว่า ECB จะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานเท่าที่มีความจำเป็น เพื่อกดดันให้เงินเฟ้อปรับตัวลงสู่เป้าหมาย 2% ของ ECB
นายคลาส นอต และนายปีเตอร์ คาซิเมียร์ ซึ่งเป็นกรรมการ ECB กล่าวสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมนโยบายการเงินทั้งในเดือนก.พ.และมี.ค.2566
*BoE*
นักวิเคราะห์คาดว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.0% ในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 10 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2564
ก่อนหน้านี้ BoE ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 3.50% ในการประชุมเดือนธ.ค.2565 ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ หลังจากปรับขึ้น 0.75% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 33 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2532
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในไตรมาส 2/2566 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ BoE แตะเพดานสูงสุดที่ 4.25%