เจ้าหน้าที่หลายคนของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงเกินคาดในเดือนม.ค.
นายโธมัส บาร์กิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์กว่า เฟดจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมเงินเฟ้อมากกว่าความเสี่ยงที่มีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ และหากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของเฟด การเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม
"สำหรับผมแล้ว ความเสี่ยงของเงินเฟ้อมีความรุนแรงมากกว่าความเสี่ยงที่เกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ" นายบาร์กินกล่าว
ขณะที่นางลอรี โลแกน ประธานเฟดสาขาดัลลัสกล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยแพร์รี วิว เอแอนด์เอ็มในรัฐเท็กซัสว่า "เฟดต้องเตรียมความพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น หากการดำเนินการดังกล่าวสามารถเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเศรษฐกิจ"
การแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดมีขึ้น หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 6.4% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.2%
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 5.6% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.5%
ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟดอยู่มาก
ทางด้านนายแพทริก ฮาเกอร์ ประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียกล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยลาซาลว่า เขาเชื่อว่าคณะกรรมการเฟดยังจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เหนือระดับ 5% หรืออาจจะสูงกว่านั้น เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กกล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสู่ 5% - 5.5% ภายในสิ้นปีนี้ ถือเป็นกรอบที่เหมาะสม
"ผมคิดว่าตลาดแรงงานสหรัฐยังคงแข็งแกร่งมาก และมีความเสี่ยงที่ชัดเจนว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเฟดจำเป็นต้องปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นอีก" นายวิลเลียมส์กล่าวกับผู้สื่อข่าว หลังร่วมงานเสวนาซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมนายธนาคารแห่งรัฐนิวยอร์ก
ทั้งนี้ นายวิลเลียมส์เชื่อมั่นว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะช่วยให้ตัวเลขเงินเฟ้อปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ของเฟดได้