ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 31 ม.ค. - 1 ก.พ. โดยระบุว่า กรรมการเฟดมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2% ของเฟด และตลาดแรงงานยังคงอยู่ในภาวะตึงตัวอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เฟดจึงควรจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้ออยู่ในทิศทางขาลงจนแตะระดับเป้าหมายที่ระดับ 2% ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งกระบวนการดังกล่าวอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
รายงานการประชุมซึ่งมีการเผยแพร่ในวันพุธ (22 ก.พ.) ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า เฟดควรจะชะลอความแรงในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ โดยปรับขึ้นเพียง 0.25% และมีกรรมการเฟดเพียงไม่กี่คนที่สนับสนุนให้ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% แต่ถึงกระนั้นก็ตาม กรรมการเฟดมองว่าความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อสูงนั้น ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินในวันข้างหน้า และเฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้
กรรมการเฟดหลายคนมองว่า แม้มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อกำลังชะลอตัวลง แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เฟดเปลี่ยนแปลงจุดยืนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
"กรรมการเฟดมองว่าข้อมูลเงินเฟ้อที่ได้รับในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานั้น แสดงให้เห็นว่าตัวเลขเงินเฟ้อชะลอตัวลง แต่ก็มีหลักฐานเพิ่มขึ้นว่าภาวะเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเป็นวงกว้าง ซึ่งทำให้เฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในทิศทางขาลงอย่างยั่งยืน" รายงานการประชุมระบุ
นอกจากนี้ กรรมการเฟดยังได้พิจารณาถึงความเสี่ยงที่มีต่อเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา พร้อมกับแสดงความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองในสภาคองเกรสเกี่ยวกับการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาล
สำหรับการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 31 ม.ค. - 1 ก.พ. ที่ประชุมมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2550 โดยแถลงการณ์ในวันดังกล่าวบ่งชี้ว่า เฟดจะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป โดยไม่มีการส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการสิ้นสุดวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด