นายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา กล่าวว่า เฟดจำเป็นที่จะต้องคุมเข้มนโยบายการเงินไปจนถึงปี 2567 ขณะที่การต่อสู้กับเงินเฟ้อยังคงดำเนินต่อไป
"ประวัติศาสตร์สอนเราว่า ถ้าเราผ่อนคลายการดำเนินการกับเงินเฟ้อก่อนที่มันจะหมดฤทธิ์ลง มันก็จะปะทุขึ้นมาใหม่ ทำให้เราต้องพิจารณาให้ดีว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวลงโดยไม่ย้อนกลับขึ้นมาอีก ซึ่งตอนนี้เรายังไปไม่ถึงจุดนั้น" นายบอสติกกล่าว
นอกจากนี้ นายบอสติกกล่าวว่า เฟดจะต้องหาจุดสมดุลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปสู่ระดับที่สามารถชะลออุปสงค์และสกัดเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันก็จะต้องไม่กระทบเศรษฐกิจจนทำให้เข้าสู่ภาวะถดถอย
ด้านนายนีล แคชแครี ประธานเฟด สาขามินเนอาโพลิส กล่าวว่า เขาเปิดกว้างต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.50% ในการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 21-22 มี.ค.
นอกจากนี้ นายแคชแครีกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายของเฟดจำเป็นต้องสูงกว่าระดับ 5.4% ที่เขาคาดการณ์ไว้ในเดือนธ.ค.2565
"ผมคิดว่ากรรมการเฟดท่านอื่นเห็นด้วยกับผมที่ว่า การคุมเข้มนโยบายการเงินที่น้อยเกินไปมีความเสี่ยงมากกว่าการคุมเข้มนโยบายการเงินที่มากเกินไป และเนื่องจากข้อมูลบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อยังไม่ได้ชะลอตัวลงตามที่มีการคาดการณ์ไว้ ผมจึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของเฟดในอนาคต" นายแคชแครีกล่าวว่า
ถ้อยแถลงของนายแคชแครีสอดคล้องกับความเห็นของนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ ซึ่งกล่าวสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนมี.ค. และเชื่อว่าการที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ทำให้สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยแต่อย่างใด