นายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตากล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันพฤหัสบดี (2 มี.ค.) ว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดนั้น อาจจะเริ่มปรากฏให้เห็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ (มี.ค.-พ.ค.) ซึ่งทำให้เขามองว่า เฟดควรจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีต่อเศรษฐกิจ
"ผมสนับสนุนให้เฟดชะลอความแรงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยมองว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% อย่างต่อเนื่องถือเป็นการดำเนินการที่เหมาะสม เนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะเริ่มปรากฏให้เห็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ และผมเชื่อว่าการชะลอความแรงในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา" นายบอสติกกล่าว
การแสดงความเห็นดังกล่าวของนายบอสติกช่วยให้ตลาดการเงินผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่รายอื่น ๆ ของเฟดซึ่งรวมถึงนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ ความเห็นล่าสุดของนายบอสติกยังส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของเฟด ปรับตัวลงสู่ระดับ 4.885% จากระดับสูงสุดในรอบ 15 ปีที่ 4.944% และเป็นปัจจัยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุดในวันพฤหัสบดี (2 มี.ค.)
อย่างไรก็ดี นายบอสติกกล่าวว่า เขาพร้อมที่จะสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในระดับที่สูงขึ้น หากไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อชะลอตัวลง และยังกล่าวด้วยว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาดอาจจะส่งผลให้เฟดปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในอนาคต