นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายให้สูงกว่ากรอบที่กำหนดไว้ หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง และเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอตัวลง
ทั้งนี้ นายวอลเลอร์ระบุว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นกว่า 500,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. ขณะที่ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ต่างก็ดีดตัวขึ้นมากเกินคาด และสูงกว่าระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟด
"หากตัวเลขเหล่านี้ยังคงมีความร้อนแรง เฟดก็จะต้องปรับขึ้นเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ให้สูงกว่ากรอบ 5.1-5.4% ที่เฟดคาดการณ์ไว้ในเดือนธ.ค.2565" นายวอลเลอร์กล่าว และเสริมว่า การต่อสู้เพื่อกดเงินเฟ้อลงสู่ระดับ 2% ของเฟดอาจใช้เวลานานกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้เมื่อ 1-2 เดือนก่อนหน้านี้
ถ้อยแถลงของนายวอลเลอร์สอดคล้องกับนายนีล แคชแครี ประธานเฟด สาขามินเนอาโพลิส ซึ่งกล่าวว่า เขาเปิดกว้างต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.50% ในการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 21-22 มี.ค.
นอกจากนี้ นายแคชแครีกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายของเฟดจำเป็นต้องสูงกว่าระดับ 5.4% ที่เขาคาดการณ์ไว้ในเดือนธ.ค.2565
"ผมคิดว่ากรรมการเฟดท่านอื่นเห็นด้วยกับผมที่ว่า การคุมเข้มนโยบายการเงินที่น้อยเกินไปมีความเสี่ยงมากกว่าการคุมเข้มนโยบายการเงินที่มากเกินไป และเนื่องจากข้อมูลบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อยังไม่ได้ชะลอตัวลงตามที่มีการคาดการณ์ไว้ ผมจึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของเฟดในอนาคต" นายแคชแครีกล่าวว่า
ส่วนนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนมี.ค. และเชื่อว่าการที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ทำให้สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยแต่อย่างใด