นักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า 50% ต่อคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ หลังการล่มสลายของซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank) หรือ SVB ซึ่งถือเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดของภาคธนาคารสหรัฐนับตั้งแต่เลห์แมน บราเธอร์สล้มละลายในปี 2551
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 54.2% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นักลงทุนไม่เคยให้น้ำหนักต่อการคาดการณ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ เฟดดำเนินนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุกในช่วงที่ผ่านมาเพื่อสกัดเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวก็ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ซึ่งรวมถึงธุรกิจสตาร์ทอัพในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นฐานลูกค้าสำคัญของ SVB
นอกจากนี้ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดยังได้ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลดีดตัวขึ้นตาม และส่งผลให้ราคาพันธบัตรปรับตัวลง เนื่องจากราคาพันธบัตรจะปรับตัวผกผันต่ออัตราผลตอบแทน
รัฐบาลสหรัฐสั่งปิดกิจการของ SVB หลังจากที่ราคาหุ้น SVB ทรุดตัวลงอย่างหนัก ท่ามกลางความกังวลว่าจะเกิดการเพิ่มทุนจำนวนมากเพื่อชดเชยการขาดทุนมหาศาลจากการขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดย SVB จำเป็นต้องขายพันธบัตรในราคาต่ำกว่าหน้าตั๋ว เนื่องจากราคาพันธบัตรปรับตัวลงสวนทางกับดอกเบี้ยที่พุ่งขึ้นตามนโยบายเฟด ขณะที่ธุรกิจสตาร์ทอัพในกลุ่มเทคโนโลยีได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง และได้แห่ถอนเงินฝากจาก SVB
ด้านคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมฉุกเฉินในวันนี้ เวลา 11.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือคืนนี้ เวลา 22.30 น.ตามเวลาไทย
ทั้งนี้ เฟดระบุในแถลงการณ์ว่า การประชุมดังกล่าวจะเป็นการทบทวนและตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าและอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (Advance and Discount Rate)
รัฐบาลสหรัฐสั่งปิดกิจการของ SVB รวมทั้งซิกเนเจอร์ แบงก์ (Signature Bank) หรือ SB ขณะที่ล่าสุดราคาหุ้นของธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank) หรือ FRB ดิ่งลงกว่า 70% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในวันนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการล้มละลายของ SVB และ SB
นักลงทุนกังวลว่าการล่มสลายของ SVB และ SB จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบธนาคาร โดยลุกลามไปยังธนาคารประจำภูมิภาคของสหรัฐ เช่น FRB แม้ว่า FRB มีการดำเนินนโยบายแตกต่างจาก SVB ซึ่งเป็นธนาคารที่เน้นการปล่อยกู้ให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพในกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่ SB เป็นธนาคารที่ปล่อยกู้ให้กับอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี