ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มการประชุมนโยบายการเงินในวันนี้ และจะแถลงผลการประชุมในวันพรุ่งนี้
ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมรอบนี้ ซึ่งจะเป็นการแสดงความเชื่อมั่นของเฟดว่าสามารถรับมือวิกฤตการณ์ในระบบธนาคารขณะนี้ และเฟดจะยังคงให้ความสำคัญต่อการสกัดเงินเฟ้อ แม้มีสัญญาณการชะลอตัว แต่ก็ยังคงสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
"เราคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในวันพรุ่งนี้ โดยเราไม่คิดว่าภาวะไร้เสถียรภาพในระบบการเงินจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้เฟดคงดอกเบี้ย เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงที่ว่าเฟดจะสูญเสียความเชื่อมั่นในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งเฟดต้องการที่จะรักษาเอาไว้" นักวิเคราะห์จากเจฟเฟอรรี ไฟแนนเชียล กรุ๊ปกล่าว
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 84.9% ที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. และให้น้ำหนักเพียง 15.1% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ย
นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และอดีตประธานเฟด กล่าวยืนยันในวันนี้ว่า ระบบธนาคารของสหรัฐมีเสถียรภาพ หลังจากที่ทางการสหรัฐออกมาตรการสกัดวิกฤตสภาพคล่องก่อนหน้านี้ และรัฐบาลพร้อมดำเนินการมากขึ้น หากพบว่าวิกฤตการณ์ลุกลามออกไป
ทั้งนี้ ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมาคมธนาคารอเมริกัน นางเยลเลนกล่าวว่า การดำเนินการของรัฐบาลในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาในการคุ้มครองเงินฝากที่ไม่ได้รับการค้ำประกันของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ และซิกเนเจอร์ แบงก์ และการจัดตั้งกองทุนสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐ เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการใช้มาตรการที่มีความจำเป็นเพื่อคุ้มครองเงินฝากของประชาชน และทำให้ระบบธนาคารมีความปลอดภัย
"การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้เป็นการพุ่งเป้าช่วยเหลือธนาคารแห่งหนึ่งแห่งใด หรือธนาคารประเภทใดเป็นพิเศษ โดยการแทรกแซงของเรามีความจำเป็นเพื่อปกป้องระบบธนาคารโดยรวม และเราจะดำเนินการเช่นนี้อีก หากพบว่าสถาบันการเงินขนาดเล็กได้รับผลกระทบจากการที่ลูกค้าแห่ถอนเงินฝาก และเกิดความเสี่ยงที่จะทำให้วิกฤตการณ์ลุกลามออกไป" นางเยลเลนกล่าว
นอกจากนี้ รัฐมนตรีคลังสหรัฐกล่าวว่า การที่ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐอัดฉีดเม็ดเงินในรูปเงินฝากจำนวน 3 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank) หรือ FRB ถือเป็นการแสดงความเชื่อมั่นต่อระบบธนาคารของสหรัฐ
นางเยลเลนกล่าวถ้อยแถลงดังกล่าว หลังมีข่าวว่า กระทรวงการคลังสหรัฐกำลังศึกษาแนวทางในการทำให้บรรษัทค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) สามารถคุ้มครองเงินฝากได้ทั้ง 100% จากปัจจุบันที่ให้การคุ้มครองไม่เกิน 250,000 ดอลลาร์