ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) เปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ก.ย. โดยระบุว่า ในระหว่างการประชุมนั้น กรรมการ RBA ได้พิจารณาเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ก่อนที่จะตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.1% ในท้ายที่สุด
รายงานการประชุมซึ่งมีการเผยแพร่ในวันนี้ (19 ก.ย.) ระบุว่า กรรมการ RBA มองว่าการเติบโตของประสิทธิภาพด้านการผลิตที่อ่อนแอและเงินเฟ้อจากภาคบริการที่อยู่ในระดับสูงนั้น ถือเป็นหลักฐานที่ทำให้ RBA พิจารณาเรื่องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่มุมมองดังกล่าวถูกลดทอนลง เมื่อกรรมการ RBA พิจารณาถึงความเสี่ยงที่ว่า วงจรการคุมเข้มนโยบายการเงินซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนพ.ค.ปีที่แล้วนั้น ยังไม่ได้ส่งผลกระทบให้เห็นอย่างเต็มที่
"ข้อมูลที่ RBA ได้รับเมื่อไม่นานมานี้สอดคล้องกับเงินเฟ้อที่เริ่มกลับสู่เป้าหมายภายในกรอบเวลาที่เหมาะสม ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงอยู่ในระดับปัจจุบัน กรรมการ RBA ต้องการเวลามากขึ้นเพื่อรอให้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพ.ค. 2565 นั้น มีผลกระทบอย่างเต็มรูปแบบ"
"นอกจากนี้ กรรมการ RBA ยังตระหนักถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการอุปโภคบริโภคภายในประเทศอ่อนแรงลง และผลกระทบที่เกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน" รายงานการประชุมระบุ
อย่างไรก็ดี ในการประชุมวันที่ 5 ก.ย.ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของนายฟิลิป โลว์ ในฐานะผู้ว่าการ RBA นั้น กรรมการ RBA ระบุว่า การคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไปนั้นยังคงเป็นเรื่องจำเป็น หากมีหลักฐานบ่งชี้ว่าออสเตรเลียยังคงเผชิญปัญหาเงินเฟ้อที่ยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ RBA คาดการณ์ว่า เงินเฟ้อจะชะลอตัวลงจากระดับปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 6% สู่ระดับราว 3.25% ภายในสิ้นปี 2567 และคาดว่าเงินเฟ้อจะกลับสู่กรอบเป้าหมายของ RBA ที่ระดับ 2-3% ภายในสิ้นปี 2568
นางมิเชล บูลล็อก ได้เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ RBA คนใหม่อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวานนี้ (18 ก.ย.) โดยก่อนหน้านี้นางบูลล็อกดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการ RBA