คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 22 ปี
การประกาศคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 11 ครั้งนับตั้งแต่ที่เริ่มวัฏจักรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.2565 ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 5.25%
ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งในปี 2567 โดยปรับลดครั้งละ 0.25% รวม 0.75% จากเดิมที่ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในการประชุมเดือนก.ย.
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 4 ครั้งในปี 2568 โดยปรับลดครั้งละ 0.25% รวม 1.00%
ส่วนในปี 2569 เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.75% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของเฟดลดลงสู่ช่วง 2.00-2.25% ซึ่งใกล้กับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่ระดับ 2.50%
ขณะเดียวกัน ในแถลงการณ์หลังการประชุม เฟดได้ส่งสัญญาณยุติวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยระบุว่า "คณะกรรมการเฟดจะทำการพิจารณาปัจจัยหลายประการสำหรับการคุมเข้มนโยบายการเงิน 'ใดๆ' ที่จะมีขึ้นอีก" ซึ่งเป็นการใช้ถ้อยคำที่ไม่เคยมีมาก่อนในแถลงการณ์ก่อนหน้านี้
ส่วนการคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐนั้น เฟดปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวสู่ระดับ 2.6% ในปีนี้ จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.1% และคาดว่าเศรษฐกิจมีการขยายตัว 1.4%, 1.8% และ 1.9% ในปี 2567, 2568 และ 2569 ตามลำดับ ขณะที่อัตราการขยายตัวในระยะยาวอยู่ที่ระดับ 1.8%
นอกจากนี้ เฟดคงคาดการณ์อัตราว่างงานที่ระดับ 3.8% ในปีนี้ และคาดว่าอยู่ที่ 4.1% ทั้งในปี 2567, 2568 และ 2569 ขณะที่อัตราว่างงานระยะยาวอยู่ที่ 4.1% เช่นกัน
ส่วนการคาดการณ์เกี่ยวกับเงินเฟ้อนั้น เฟดปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสู่ระดับ 3.2% ในปีนี้ จากเดิมที่ระดับ 3.7% และคาดว่าอยู่ที่ 2.4%, 2.2% และ 2.0% ในปี 2567, 2568 และ 2569 ตามลำดับ