นายโจน ฟอสต์ ที่ปรึกษาอาวุโสของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุในบทความที่มีการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอนัลฉบับวานนี้ว่า ถ้าหากเจ้าหน้าที่เฟดได้ข้อสรุปว่าพวกเขามีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนพ.ย.หรือธ.ค. พวกเขาก็ควรที่จะดำเนินการดังกล่าวในขณะนี้ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยอยู่ห่างไกลที่สุดจากจุดหมายปลายทางสุดท้ายของพวกเขา
นอกจากนี้ นายฟอสต์ระบุว่า แม้เขาคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ได้อยู่ในจุดที่จำเป็นต้องให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% แต่เขาก็มีความโน้มเอียงเล็กน้อยที่ต้องการให้เฟดเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% "และผมยังคงคิดว่ามีโอกาสที่เฟดจะดำเนินการดังกล่าวเช่นกัน"
ความเห็นของนายฟอสต์สอดคล้องกับนายบิล ดัดลีย์ อดีตประธานเฟด สาขานิวยอร์ก ซึ่งกล่าวว่า มีโอกาสอย่างมากที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากถึง 0.50% ในการประชุมสัปดาห์หน้า
"ผมคิดว่ามีโอกาสอย่างมากที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ไม่ว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้นหรือไม่ก็ตาม" นายดัดลีย์กล่าว
นอกจากนี้ นายดัดลีย์ระบุว่า ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยอยู่สูงกว่าระดับที่เป็นกลางราว 1.50-2.00%
นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักต่อคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากถึง 0.50% ในสัปดาห์หน้า หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาดในสัปดาห์นี้
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 43% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมวันที่ 18 ก.ย. หลังจากให้น้ำหนักเพียง 28% เมื่อวานนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 57% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 18 ก.ย. หลังจากให้น้ำหนักมากถึง 72% เมื่อวานนี้
หากเฟดลดอัตราดอกเบี้ยตามคาดในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. ก็จะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในปีนี้ และครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งขณะนั้นเฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงใกล้ 0% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19